loader image

ดูดไขมันเฉพาะจุด (Liposuction) กำจัดไขมันส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ

         การดูดไขมัน คือการศัลยกรรมอย่างหนึ่งเพื่อการลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด ซึ่งต้องการปัจจัยหลายอย่างเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตอบโจทย์ผู้เข้ารับบริการมากที่สุด ดังนั้น เราจึงต้องทำความรู้จักกันก่อนว่าการดูดไขมันคืออะไร? และมันเหมาะกับเราหรือไม่ มาเปิดตำราไปพร้อม ๆ กันได้เลย!

เลือกอ่านตามหัวข้อได้ที่นี่

ดูดไขมัน (Liposuction) คืออะไร

        การดูดไขมัน คือ การกำจัดไขมันส่วนเกินใต้ผิวหนังออกมา ด้วยการใช้เครื่องสลายไขมันให้มีขนาดเซลล์เล็กลงและดูดออกมาจากร่างกาย ตอบโจทย์กลุ่มที่มีปัญหาด้านการลดไขมันเฉพาะจุดที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร การดูดไขมันจะช่วยปรับรูปร่างของเราให้มีความสมส่วนยิ่งขึ้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เน้นการปรับแต่งสัดส่วนให้ตรงตามความต้องการของเรา

นอกจากนี้ การดูดไขมันยังสามารถทำร่วมกับการศัลยกรรมประเภทอื่น ๆ ได้ในครั้งเดียว ตั้งแต่การยกกระชับทรวงอก การผ่าตัดเสริมหน้าอก การผ่าตัดหนังหน้าท้องส่วนเกิน หรือการตัดต่อมน้ำนมโตในผู้ชายก็ได้เช่นกัน เพื่อให้เราไม่จำเป็นต้องเข้ารับการศัลยกรรมซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ซึ่งจะทำให้เปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่า

ดูดไขมัน คือ

ดูดไขมันมีกี่แบบ ควรเลือกแบบไหนดี

        การดูดไขมัน คือการศัลยกรรมสัดส่วนและรูปร่างที่มีด้วยกันหลายประเภท โดยจะจำแนกด้วยวิธีการที่ใช้ ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามพลังงานที่นำมาใช้สลายไขมัน แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ดังต่อไปนี้

Liposuction types

การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)

        การดูดไขมันแบบดั้งเดิม เป็นเทคนิคพื้นฐานที่นิยมกันมากในอดีต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SAL หรือ Suction-Assisted Liposuction โดยจะเป็นการใช้ท่อดูดไขมัน (Cannula) ขนาดเล็กเชื่อมต่อกับเครื่องดูดสุญญากาศ สอดท่อเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง จากนั้น แพทย์จะทำการเก็บเกี่ยวเซลล์ไขมันด้วยทักษะต่าง ๆ

วิธีดูดไขมันแบบดั้งเดิมจะไม่มีการใช้พลังงานอื่น ๆ เข้ามาช่วยแยกเซลล์ไขมัน จึงต้องอาศัยแรงมือและประสบการณ์ของแพทย์ในการควบคุมทิศทางและความลึกของการดูดไขมัน

ข้อดีของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

  • ไม่ก่อให้เกิดความร้อน
  • เสี่ยงผิวไหม้น้อยกว่า
  • ใช้สำหรับการเก็บไขมันเพื่อนำไปเติมไขมันต่อได้
  • โครงสร้างเครื่องมือไม่ซับซ้อน ดูแลรักษาง่าย
  • ประหยัดงบประมาณกว่าการใช้พลังงานเสริมในการแยกเซลล์ไขมัน

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบดั้งเดิม

  • อาจมีอาการช้ำหรือบวมมาก เนื่องจากแพทย์ไม่สามารถประมาณแรงมือของตนเองได้
  • มีโอกาสเกิดผิวไม่เรียบหรือผิวเป็นคลื่นสูง ต้องพึ่งพาความชำนาญของแพทย์เป็นส่วนใหญ่
  • ไม่เหมาะกับจุดที่ต้องการความละเอียดหรือพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีไขมันสะสมมาก
  • ระยะฟื้นตัวนาน เจ็บและบวมมากกว่าวิธีที่ใช้พลังงานเสริมช่วย

การดูดไขมันแบบ Water-Assisted Liposuction (WAL)

        เรียกว่า การดูดไขมันด้วยพลังงานน้ำ ด้วยเครื่องที่ใช้แรงดันน้ำในการแยกเซลล์ไขมันเป็นหลัก ซึ่งเครื่องที่มีอยู่ในปัจจุบันและเป็นที่นิยมคือ Body-Jet (บอดี้เจ็ท) ใช้พลังงานแรงดันน้ำในลักษณะของพัด ทำให้เนื้อเยื่อไขมันแยกตัวออกจากกันเป็นเซลล์เล็ก ๆ ลอยอยู่ใต้ผิวหนัง แล้วจึงดูดออกมาพร้อม ๆ กับน้ำและยาชา

ข้อดีของการดูดไขมันแบบ WAL

  • ไม่ก่อให้เกิดความร้อน
  • เสี่ยงผิวไหม้น้อยกว่า
  • ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย
  • ใช้สำหรับการเก็บไขมันเพื่อนำไปเติมไขมันได้

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ WAL

  • พลังงานน้อย ทำให้ใช้เวลานาน
  • หลังทำจะมีน้ำซึมออกมาเยอะกว่าใช้เครื่องประเภทอื่น
  • หลังทำไม่เห็นผลชัดเจน ต้องรอยุบตัวอย่างน้อย 1 เดือน

การดูดไขมันแบบ Radiofrequency Assisted Liposuction (RFAL)

        เป็นการดูดไขมันโดยใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุหรือ Radiofrequency ในการสลายไขมันจนกลายเป็นน้ำมันพร้อมกับช่วยยกกระชับผิวบริเวณที่จะกำจัดได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันได้แก่เครื่อง BodyTite หรือ FaceTite ซึ่งจะประกอบด้วยหัวดูดไขมันสำหรับสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง และหัวสำหรับทำให้ผิวชั้นนอกเย็นลง

ข้อดีของการดูดไขมันแบบ RFAL

  • ลดโอกาสผิวไหม้ เพราะมีหัวที่ทำให้ผิวชั้นนอกเย็นลง
  • หลังทำผิวมีความกระชับมากขึ้นระดับหนึ่ง
  • แผลเล็ก เพราะเครื่องมีขนาดเล็ก

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ RFAL

  • การควบคุมอุณหภูมิค่อนข้างไม่เสถียรเท่าเครื่องอื่น ๆ ที่ทำเพื่อยกกระชับโดยเฉพาะ
  • ไม่สามารถใช้ยกกระชับผิวที่มีความย้วยหรือหย่อนคล้อยหนักได้เห็นผลเท่าที่ควร

การดูดไขมันด้วยคลื่นเสียง Ultrasound-assisted Liposuction (UAL)

        เป็นการดูดไขมันด้วยพลังงานคลื่นเสียง หรือพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ในการสร้างความร้อนเพื่อสลายไขมัน จนทำให้กลายเป็นน้ำมัน ปัจจุบันจะมีเครื่อง Ultra Z และ Vaser ที่เป็นเครื่องประเภท UAL ซึ่งนิยมใช้กัน แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของค่าพลังงานที่ไม่เท่ากัน โดย Ultra Z พลังงานเบากว่าจึงเหมาะกับคนที่รูปร่างเล็ก ไขมันน้อย ส่วนเครื่อง Vaser พลังงานสูงกว่า จึงเหมาะกับคนรูปร่างใหญ่ พลัสไซซ์ หรือผู้ชายซึ่งมีชั้นไขมันหนามากกว่าผู้หญิง

ข้อดีของการดูดไขมันแบบ UAL

  • พลังงานสูง สลายไขมันได้เร็ว ดูดได้เยอะ
  • ไม่ต้องใช้เวลานานในการทำ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
  • กำจัดไขมันได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย
  • รอยฟกช้ำน้อยกว่าการดูดแบบดั้งเดิม

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ UAL

  • มักมีอาการบวมและต้องฟื้นตัวค่อนข้างนาน
  • ไม่สามารถนำไขมันมาเติมต่อได้ เพราะเซลล์สลายเป็นน้ำมันไปแล้ว

การดูดไขมันด้วยแรงสั่น Power-assisted Liposuction (PAL)

        เป็นการดูดไขมันที่ใช้พลังงานกลในการสลายไขมัน โดยท่อดูดไขมันของเครื่องจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น ทำให้ไขมันแตกตัวออกจากกันได้ง่าย เปรียบเสมือนการทุ่นแรงของแพทย์ ซึ่งแต่เดิมต้องสอดท่อดูดไขมันเข้าออกอย่างถี่เพื่อเก็บสัดส่วน อันอาจจะทำให้ผิวหนังเกิดการเสียดสีจนอักเสบมากขึ้น โดยปัจจุบันจะมีเครื่อง MicroAire PAL ที่นิยมใช้กันในไทย

ข้อดีของการดูดไขมันแบบ PAL

  • ไม่ก่อให้เกิดความร้อนระหว่างทำ ผิวไม่ไหม้
  • ช่วยทำ Sexy Line หรือร่อง 11 ได้คม ชัด สวยงาม
  • มีหัวดูดไขมันหลากหลาย ทำให้สามารถใช้เก็บไขมันส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการความละเอียดได้

ข้อเสียของการดูดไขมันแบบ PAL

  • ไม่สามารถใช้กับเคสที่มีพังผืดได้
  • มีโอกาสเสียเลือดมาก หากใช้เป็นเครื่องเดี่ยว ต้องใช้ร่วมกับเครื่องอื่น ๆ 
  • ราคาเครื่องค่อนข้างสูง ทำให้ราคาเบ็ดเสร็จสูงตามไปด้วย

การดูดไขมันปั้นสัดส่วน (Liposculpture)

        Liposculpture คือเทคนิคการดูดไขมันที่พัฒนาไปอีกขั้นจากการดูดไขมันแบบดั้งเดิม โดยไม่เพียงเน้นการกำจัดไขมันส่วนเกินเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการ “ออกแบบรูปร่าง” โดยการผสมผสานศาสตร์ทั้งสองอย่างคือ กายวิภาคและศิลปะ แพทย์จะพิจารณาแนวกล้ามเนื้อ ความโค้งเว้าตามธรรมชาติ และความสมดุลของสัดส่วนตามปัจเจกบุคคล เพื่อปั้นรูปร่างให้ดูมีมิติ และแลดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

การดูดไขมัน Liposculpture มักทำตำแหน่งหน้าท้อง (สร้างร่องกล้ามเนื้อหรือ Six-pack), รอบเอว, แผ่นหลัง, ปีกหลัง, ต้นแขน และต้นขา รวมถึงตำแหน่งอื่น ๆ ที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น แนวกระดูกซี่โครง นมน้อย หรือร่องกล้ามเนื้อส่วนหลัง เป็นต้น

ข้อดีของการดูดไขมัน Liposculpture

  • ช่วยปรับสัดส่วนให้ดูชัดเจนและสมส่วนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่การกำจัดไขมันส่วนเกิน
  • ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เพราะอิงตามโครงสร้างกายวิภาคและแนวกล้ามเนื้อจริง ไม่ดูแข็งหรือผิดรูป
  • สามารถออกแบบตามเฉพาะบุคคล (Customized Body Contouring) เหมาะกับผู้ที่ต้องการรูปร่างที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เช่น ต้องการกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นร่อง หรือเอวคอดมากขึ้นเป็นหุ่นนาฬิกาทราย เป็นต้น
  • สามารถใช้ไขมันที่ดูดได้มาเติมในส่วนอื่นได้ เช่น เติมสะโพกหรือหน้าอก เพื่อเพิ่มความสมส่วนของรูปร่าง

ข้อเสียของการดูดไขมัน Liposculpture

  • ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ที่หลากหลายของแพทย์เป็นหลัก เนื่องจากการออกแบบสัดส่วนต้องผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและละเอียดรอบคอบ
  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการดูดไขมันทั่วไป เนื่องจากต้องใช้เทคนิคเสริม อุปกรณ์เพิ่มเติม และความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่า
  • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับโครงสร้างร่างกายแต่ละคน เช่น ความหนาของไขมัน กล้ามเนื้อ หรือผิวหนัง อาจเป็นข้อจำกัดในการปั้นสัดส่วน
  • ต้องใส่ใจในการดูแลหลังทำมากกว่าปกติ เช่น การใส่ชุดกระชับเฉพาะ การใช้อุปกรณ์เสริม การพักฟื้น และการนวดตามแนวร่องกล้ามเนื้อ หรืออื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์

ดูดไขมันตำแหน่งไหนได้บ้าง

        ตำแหน่งที่ดูดไขมันได้นั้นมีหลากหลายจุด โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีเป้าหมายเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณที่เราไม่สามารถลดได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือคุมอาหาร ซึ่งตำแหน่งที่ดูดไขมันออกมาได้จะมีทั้งหมด 7 ตำแหน่งหลัก ๆ ได้แก่

ดูดไขมันหน้าท้อง

เน้นบริเวณหน้าท้องบน-ล่าง หรือพุงหมาน้อย

ดูดไขมันเอว

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่รอบเอวหน้าและหลัง

ดูดไขมันต้นขา

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่บริเวณต้นขาด้านนอก ด้านใน จนถึงหัวเข่า

ดูดไขมันต้นแขน

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นแขนโดยรอบและบริเวณนมน้อย

ดูดไขมันเหนียง

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณกรอบหน้าและใต้คาง

ดูดไขมันแผ่นหลัง

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณแผ่นหลัง โดยเฉพาะส่วนปีกเสื้อใน

ดูดไขมันน่อง

เน้นกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณน่องไปจนถึงข้อเท้า

การดูดไขมันหน้าท้อง

        การดูดไขมันหน้าท้องเป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องส่วนบน หน้าท้องส่วนล่าง หรือรอบเอว ซึ่งแม้จะออกกำลังกายหรือลดน้ำหนักแล้วก็ยังไม่สามารถลดไขมันในจุดนี้ได้ โดยการดูดไขมันจะช่วยปรับรูปร่างให้ดูเพรียว และลดพุงล่าง ลดพุงยื่นได้ดี

การดูดไขมันเหนียง

        บริเวณใต้คางหรือที่เรียกว่า “เหนียง” เป็นอีกจุดที่ไขมันมักจะเกิดการสะสมได้ง่าย การดูดไขมันเหนียงสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น และลดความหย่อนคล้อยบริเวณใต้คางได้ดี

การดูดไขมันต้นแขน

        ไขมันที่ต้นแขนทำให้แขนดูใหญ่หรือหย่อนคล้อย ซึ่งการลดต้นแขนด้วยการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวนั้นค่อนข้างยาก การดูดไขมันต้นแขนจะช่วยให้แขนดูเรียวและกระชับมากยิ่งขึ้น เหมาะกับคนที่ต้องการให้รูปร่างดูเพรียวบางมากขึ้น เลือกเสื้อผ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น

การดูดไขมันต้นขา

        บริเวณต้นขาด้านในและด้านนอกมักมีไขมันสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มักจะมีปัญหาขาใหญ่ ต้นขาเบียด หรือต้นขาไม่เท่ากัน การดูดไขมันต้นขาจะสามารถช่วยให้ต้นขาดูเล็กลง ลดขาเบียดเสียดสี ทำให้ขาเรียวสวยสมส่วนมากยิ่งขึ้น

การดูดไขมันเอว

        ไขมันรอบเอวหรือที่เรียกกันว่า “ห่วงยางรอบเอว (Love Handles)” เป็นจุดไขมันสะสมที่พบได้บ่อยและยากต่อการลดด้วยตัวเอง เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย การดูดไขมันเอวจะช่วยสร้างส่วนเว้าส่วนโค้งของลำตัวให้ชัดเจน รูปร่างจะดูมีทรวดทรง สมส่วนมากยิ่งขึ้น

การดูดไขมันหลัง 

        บริเวณหลังส่วนบนและส่วนล่างมักมีไขมันสะสมมากจนทำให้มีส่วนเกินชัดเจน เช่น บริเวณปีกเสื้อใน ไขมันเอวส่วนหลัง หรือบริเวณไขมันใกล้ต้นแขน การดูดไขมันแผ่นหลังสามารถช่วยให้รูปร่างและผิวมีความเรียบเนียนขึ้น ลดรอยพับของผิวหนัง ลดปีกเสื้อใน ลดผิวหย่อนคล้อย ทำให้สวมเสื้อผ้าได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

การดูดไขมันน่องขา

        แม้บริเวณน่องจะประกอบด้วยกล้ามเนื้อน่องเป็นหลัก แต่ในบางรายก็อาจมีไขมันสะสมอยู่ด้วย ซึ่งมักจะจำแนกด้วยตัวเองไม่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะคนที่ขาใหญ่หรือน่องขามีขนาดไม่สมส่วน การดูดไขมันน่องจะค่อนข้างตอบโจทย์มากกับคนที่มีปัญหาน่องเป็นก้อน น่องโตจากไขมัน

การดูดไขมันหน้าอก

         การดูดไขมันหน้าอกช่วยแก้ปัญหาภาวะ “เต้านมโตในผู้ชาย” (Gynecomastia) ซึ่งจะทำให้การดูดไขมันหน้าอกอาจทำร่วมกับการยกกระชับหรือการลดขนาดหน้าอก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและคำแนะนำจากแพทย์

        นอกจากตำแหน่งทั้งหมดนี้แล้ว ปัจจุบัน ยังมีวิธีการดูดไขมันแบบต่าง ๆ แยกย่อยออกไปกลายรูปแบบ ซึ่งจะแบ่งด้วยผลลัพธ์หลังทำ ยกตัวอย่างเช่น

  • การดูดไขมัน Sexy Line คือ การกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องและเอว ต่อด้วยการออกแบบกล้ามเนื้อหน้าท้องให้มีลักษณะคล้ายกล้ามเนื้อ Sexy Line ที่มักพบในผู้หญิงหรือคนที่มีกล้ามเนื้อส่วนเอวชัด ๆ
  • การดูดไขมัน Six-Pack คือการกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องและเอว ต่อด้วยการออกแบบกล้ามเนื้อหน้าท้องให้มีลักษณะคล้ายกล้ามเนื้อซิกแพคที่มักพบในผู้ชายหรือคนที่มีกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscle) ชัด ๆ
Sexy Line VS Six Pack

ใครที่เหมาะและไม่เหมาะกับการดูดไขมัน

        การดูดสลายไขมัน อาจจะเป็นการกำจัดส่วนเกินตามร่างกายที่ได้ผลชัดเจนและตรงจุด แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าการดูดไขมันไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะยังถือว่าเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่งที่ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง เรามาดูกันว่าใครเหมาะ-ไม่เหมาะกับการดูดไขมันบ้าง?

กลุ่มคนที่เหมาะกับการดูดไขมัน

  • คนที่มีไขมันใต้ผิวหนังสะสมเยอะ ทำให้มีปัญหาเรื่องสัดส่วนรูปร่าง
  • คนที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่เกิน 30 (หากสูงกว่านี้ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ)
  • คนที่น้ำหนักคงที่มาตลอดระยะเวลา 6-12 เดือน หรือลดน้ำหนักมาแล้วไม่ลง
  • คนที่มีสัดส่วนไม่สมดุล ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด

กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมัน

  • คนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน ความดันสูง แพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เป็นต้น (แนะนำให้สอบถามแพทย์เพื่อข้อมูลที่ถูกต้อง)
  • คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเป็นผู้ติดเชื้อเฮชไอวี (HIV) มีความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย
  • คนที่มีโรคซึ่งควบคุมได้ยาก เช่น โรคหอบหืด ลมบ้าหมู ไทรอยด์ เป็นต้น
  • คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรง (แนะนำให้ตัดหนังหน้าท้องจะเหมาะสมกว่า)

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถดูดไขมันได้

อย่างที่ได้เห็นกันว่าการดูดไขมันไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คน เพราะปัญหารูปร่างและสัดส่วนนั้นมีความหลากหลาย รายละเอียดปลีกย่อยเยอะ บางคนไขมันสะสมและไม่ได้ผิวย้วยก็ดูดสลายไขมันอย่างเดียวได้ แต่ถ้าบางคนผิวย้วยหนักแต่ไม่ได้มีไขมันสะสมก็อาจจะต้องเลือกวิธีอื่น ยกตัวอย่างเช่น

  • การทำกระชับผิวด้วย J Plasma เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยระดับปานกลาง
  • การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck) เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยส่วนหน้าท้องรุนแรงและมีไขมันสะสม
  • การใช้ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเยอะ, BMI เกิน 40 ขึ้นไป, มีปัญหาเรื่องการคุมอาหาร หรืออยากปรับพฤติกรรมการทานอาหาร เป็นต้น
  • การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วย TESLA Former III เหมาะกับคนที่ไขมันน้อยมาก ๆ แต่ต้องการทำให้สัดส่วนกระชับ มีกล้ามเนื้อมากขึ้น

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถดูดไขมันได้

        อย่างที่ได้เห็นกันว่าการดูดไขมันไม่ได้เหมาะกับทุก ๆ คน เพราะปัญหารูปร่างและสัดส่วนนั้นมีความหลากหลาย รายละเอียดปลีกย่อยเยอะ บางคนไขมันสะสมและไม่ได้ผิวย้วยก็ดูดสลายไขมันอย่างเดียวได้ แต่ถ้าบางคนผิวย้วยหนักแต่ไม่ได้มีไขมันสะสมก็อาจจะต้องเลือกวิธีอื่น ยกตัวอย่างเช่น

  • การทำกระชับผิวด้วย J Plasma เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยระดับปานกลาง
  • การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck) เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยส่วนหน้าท้องรุนแรงและมีไขมันสะสม
  • การใช้ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเยอะ, BMI เกิน 40 ขึ้นไป, มีปัญหาเรื่องการคุมอาหาร หรืออยากปรับพฤติกรรมการทานอาหาร เป็นต้น
  • การกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วย TESLA Former III เหมาะกับคนที่ไขมันน้อยมาก ๆ แต่ต้องการทำให้สัดส่วนกระชับ มีกล้ามเนื้อมากขึ้น

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการดูดไขมัน

        แม้ว่าการดูดไขมันจะเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่สามารถปรับรูปร่างได้อย่างชัดเจนและรวดเร็ว แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความคาดหวังของแต่ละบุคคล

ข้อดีของการดูดไขมัน

  • ลดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับบริเวณที่แม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้วก็ยังลดได้ยาก เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เหนียง หรือเอว
  • ปรับรูปร่างให้สมส่วน ช่วยเสริมให้สัดส่วนของร่างกายดูสมดุลและกระชับขึ้น เช่น การสร้างเอวคอด ขาเรียว หรือแขนเล็กลง
  • เห็นผลทันทีหลังทำ (บางส่วน) แม้จะมีอาการบวมในระยะแรก แต่โดยรวมสามารถเห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น
  • มีเทคโนโลยีหลากหลายที่ปลอดภัยมากขึ้น เช่น VASER, BodyTite, J Plasma ที่ช่วยสลายไขมันและกระชับผิวในขั้นตอนเดียว ลดความเสี่ยงในการเกิดผิวไม่เรียบ
  • สามารถนำไขมันไปเติมในจุดอื่นของร่างกาย เช่น เติมไขมันหน้าอก สะโพก หรือใบหน้า เพิ่มความคุ้มค่าในการทำหัตถการ

ข้อเสียของการดูดไขมัน

  • ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนักโดยตรง การดูดไขมันเน้นลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายได้
  • มีความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก บวมช้ำ ผิวไม่เรียบ หรือเกิดพังผืด หากทำโดยแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ
  • ต้องมีระยะพักฟื้น ผู้เข้ารับการดูดไขมันควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักประมาณ 1–2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับบริเวณและเทคนิคที่ใช้
  • ผลลัพธ์ไม่ถาวรหากไม่ดูแลตนเอง แม้จะดูดไขมันออกไปแล้ว แต่หากมีพฤติกรรมการกินหรือการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ไขมันใหม่ก็สามารถกลับมาสะสมได้อีก
  • ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะหากต้องการทำหลายตำแหน่งพร้อมกัน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัยมากขึ้น

ตารางเปรียบเทียบเครื่องดูดไขมันประเภทต่าง ๆ

เทคโนโลยี

Water-Assisted Liposuction (WAL)

Radiofrequency-Assisted Liposuction (RFAL)

Ultrasound-assisted Liposuction (UAL)

Power-assisted Liposuction (PAL)

J Plasma

หลักการทำงาน

ใช้แรงดันน้ำแยกเซลล์ไขมันอย่างอ่อนโยน

ใช้พลังงาน RF ในการสร้างความร้อนเพื่อแยกเซลล์ไขมัน

ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์สร้างความร้อนเพื่อเพื่อแยกเซลล์ไขมัน

ใช้พลังงานกล จากการสั่นสะเทือนของเข็ม 4,000 รอบต่อนาทีเพื่อแยกเซลล์ไขมัน

ใช้พลังงานฮีเลียมพลาสมาร่วมกับพลังงาน RF กระชับผิว ณ อุณหภูมิ 85 องศาในระยะเวลา 0.04 วินาที

จุดเด่น

– เจ็บน้อย

– ฟื้นตัวไว

– อักเสบต่ำ

– ผิวกระชับ

– ลดผิวหย่อนคล้อย

– แยกเซลล์ไขมันที่หนาแน่นมาก ๆ ได้

– เก็บรายละเอียดดี

– ลดความเจ็บเมื่อใช้ร่วมเครื่องอื่น

– ผิวกระชับชัดเจนมาก

ตำแหน่งที่ทำได้

หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง หัวเข่า

เหนียง หน้าท้อง ต้นแขน เอว ขา ฯลฯ

หน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง หัวเข่า

ใช้เสริมกับเครื่องดูดไขมันตัวอื่น

บริเวณที่ต้องการกระชับผิว

ระยะเวลาทำ

60–120 นาที / ตำแหน่ง

30 นาที

45–60 นาที

ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง

30–60 นาที

ขนาดแผล

3-5 มม.

1-4 มิลลิเมตร

(ขึ้นอยู่กับหัวดูดไขมันที่เลือกใช้)

3-5 มม.

3-5 มม.

2-4 มม.

ความเจ็บ

2/10

เจ็บน้อยมาก

2-6/10

เจ็บแบบทนได้

แต่บางตำแหน่งเจ็บน้อย

5/10

เจ็บแบบทนได้

5/10

เจ็บแบบทนได้

1/10

มักรู้สึกหน่วงตึงมากกว่า

ระยะเวลาพักฟื้น

1–2 วัน

0-7 วัน

3-7 วัน

3-7 วัน

1-2 วัน

ระยะเวลาเห็นผล

2–6 เดือน

3–6 เดือน

3–6 เดือน

1–2 เดือน

3–6 เดือน

เหมาะกับ

– ไม่อยากพักฟื้นนาน

– กลัวเจ็บ

– ปริมาณไขมันสะสมไม่มาก

– ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย

– ไขมันสะสมไม่เยอะ

– คนที่มีไขมันดื้อเยอะ

– คนรูปร่างใหญ่/ชั้นไขมันหนา

– คนที่มีไขมันสะสมมาก

– ต้องการเก็บรายละเอียดสัดส่วนเยอะ

– ผิวหย่อนคล้อยระดับกลาง–มาก

ราคา

เริ่มต้น 39,000 บาท

เริ่มต้น 19,900 บาท

ขึ้นอยู่กับเครื่องที่เลือกใช้

เริ่มต้น 25,000 บาท

ต้องใช้ร่วมกับเครื่องอื่น ๆ ราคาจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางคลินิก

ต้องใช้ร่วมกับเครื่องอื่น ๆ ราคาจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางคลินิก

หัวดูดไขมันมีอะไรบ้าง

        Liposuction Cannulas หรือหัวดูดไขมัน ถือเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการดูดไขมัน หากเลือกใช้อย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสลายไขมัน แต่ยังลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างการดูดไขมันด้วย โดยหัวดูดไขมัน เบื้องต้นมีอยู่ด้วยกันถึง 14 แบบ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่มหลักตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ดังนี้

1. Harvesting (หัวดูดไขมันสำหรับเก็บเซลล์ไขมัน)

       หัวดูดในกลุ่มนี้ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการเก็บเซลล์ไขมันที่ยังมีชีวิต เพื่อใช้ในการเติมไขมัน หัวดูด Harvesting จะเน้นการแยกเซลล์ไขมันแบบนุ่มนวลและลดการทำลายโครงสร้างเซลล์ไขมัน เพื่อคงสภาพเซลล์ให้สามารถนำไปใช้งานต่อได้อย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างหัวดูด 2 ชนิด ได้แก่

  • Del Vecchio Track-12 Cannulas หัวดูดหลายรูที่สามารถดูดไขมันได้แบบรอบทิศทางถึง 270 องศา ช่วยให้แพทย์สามารถดูดเก็บไขมันได้รอบด้านมากขึ้น
  • Multi-Hole Cannulas หัวดูดหลายรูที่หมุนได้รอบทิศทาง 360 องศา ช่วยให้สามารถเก็บไขมันได้จากหลายทิศทาง ในปริมาณที่มากขึ้นได้

2. Specialty (หัวดูดไขมันสำหรับซอกซอนในจุดที่เข้าถึงยาก)

       หัวดูดประเภทนี้พัฒนาขึ้นเพื่อเข้าถึงตำแหน่งที่มีความซับซ้อนหรือเข้าถึงยาก เช่น คอ แผ่นหลัง น่อง และหน้าอก (ในกรณีที่เป็นการผ่าตัดรักษา Gynecomastia) ด้วยรูปทรงและมุมที่เหมาะสม จะช่วยให้แพทย์สามารถควบคุมทิศทางการดูดไขมันได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น

  • Helixed Tri-Port III Cannulas สำหรับดูดไขมันหน้าอกในผู้ชายที่มีภาวะเต้านมโต
  • Spatula Cannulas ส่วนปลายจะมีความแบน เหมาะกับบริเวณคอและแผ่นหลัง
  • Flared Mercedes Cannulas รูปทรงเฉพาะที่ช่วยในการปั้นสัดส่วนให้ได้รูป
  • Bent Cannulas ดัดมุมเพื่อเข้าถึงพื้นที่โค้งเว้าหรือซับซ้อน
  • Turbo Cannulas ช่วยเพิ่มความเร็วในการดูดไขมัน

3. High Definition (หัวดูดไขมันช่วยในการปั้นหุ่น สร้างไลน์กล้ามเนื้อ)

       หัวดูด HD เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับการปรับชั้นไขมันผิวตื้น เพื่อสร้างมิติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามหน้าท้อง (Six-pack), ร่องข้างลำตัว (Line 11) หรือขอบหัวไหล่ โดยเน้นความแม่นยำในการเก็บส่วนเกินและเหลือไขมันบางส่วนไว้เพื่อสร้างเส้นขอบของกล้ามเนื้อให้ดูเป็นธรรมชาติ

4. Extraction (หัวดูดไขมันใต้ผิวชั้นลึก)

        หัวดูดกลุ่มนี้เหมาะสำหรับกำจัดไขมันที่ไม่ต้องการนำกลับมาใช้ โดยเน้นการดูดไขมันออกในปริมาณมาก โดยไม่ให้กระทบต่อชั้นผิวหนังหรือเพื่อลดผลข้างเคียงจากอาการผิวเบิร์น ผิวเป็นคลื่น ยกตัวอย่างหัวดูดกลุ่ม Extraction ได้แก่

  • Single-Port Cannulas ท่อดูดแบบมุม 90 องศา ใช้ในพื้นที่ที่ต้องการความแม่นยำ
  • Mercedes Cannulas ดูดไขมันรอบทิศทางได้ 360 องศา เหมาะกับการใช้งานทั่ว ๆ ไป
  • Double Mercedes Cannulas ออกแบบสำหรับผิวที่มีพังผืดเกาะติดมาก
  • Mirrored Tri-Port II Cannulas หัวดูดบางพิเศษ ดูดได้ในรอบทิศทาง 270 องศา เหมาะกับบริเวณที่ต้องการความละเอียดมาก
  • Tri-Port II Cannulas ใช้สำหรับการดูดไขมันชั้นลึก ได้รอบทิศทาง 270 องศา
  • Tri-Port III Cannulas หัวขนาดเล็กพิเศษรอบทิศทาง 90 องศา เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็กหรือจุดที่ต้องการความแม่นยำสูง

ตารางเปรียบเทียบหัวดูดไขมัน

ประเภทหัวดูด

หัวดูดไขมันเก็บเซลล์ไขมัน

(Harvesting)

หัวดูดไขมันตำแหน่งเฉพาะ

(Specialty)

หัวดูดไขมันปั้นสัดส่วน

(High Definition)

หัวดูดไขมันชั้นลึก

(Extraction)

จุดเด่น

ดูดไขมันนุ่มนวล เซลล์ยังมีชีวิต

เข้าถึงบริเวณซับซ้อนได้ดี

ปรับไขมันตื้น สร้างไลน์กล้าม

ดูดไขมันลึก ปริมาณมาก

ข้อดี

– ลดการเสียหายของเซลล์

– เหมาะกับการเติมไขมัน

– แม่นยำสูง

– เหมาะกับจุดเล็ก เช่น คอ แผ่นหลัง

– ปั้นซิกแพค / ร่อง 11 ได้

– หุ่นมีมิติสวยงาม

– กำจัดไขมันได้มาก

– ผิวเรียบ ไม่เป็นคลื่น

ข้อเสีย

– ใช้เวลานานกว่าหัวทั่วไป

– ไม่เหมาะกับการดูดเยอะ

– ต้องใช้แพทย์ที่ชำนาญ

– ดูดไขมันช้ากว่าทั่วไป

– ต้องใช้ทักษะสูง

– เสี่ยงบวม/ช้ำง่าย

– ไขมันใช้ซ้ำไม่ได้

– ไม่เหมาะกับการเก็บไขมัน

เหมาะกับ

เติมไขมันบนใบหน้า หน้าอก สะโพก

จุดเล็ก แคบ / ผู้ชายเต้านมโต (Gynecomastia)

คนที่ต้องการกล้ามเนื้อชัด รูปร่างฟิต

ผู้ที่มีไขมันหนาแน่นมาก / ตัวใหญ่

ขั้นตอนการดูดไขมัน

       การดูดไขมัน คือการศัลยกรรมที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อนมากนัก โดยจะมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ ทั้งหมด 3 ขั้นตอนได้แก่ การระงับความเจ็บปวด การแยกเซลล์ไขมันให้แตกตัว และการดูดเอาไขมันออกมาจากร่างกาย ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งหมด ดังนี้

  1. ปรึกษาแพทย์และวางแผนการรักษาให้เหมาะกับผู้เข้ารับบริการที่สุด

    ในขั้นตอนแรก แพทย์จะทำการประเมินสุขภาพโดยรวมของผู้เข้ารับบริการก่อน โดยพิจารณาประวัติทางการแพทย์ ลักษณะของรูปร่าง และปริมาณไขมันในตำแหน่งที่ต้องการรักษา เพื่อออกแบบแผนการดูดไขมันที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ ความปลอดภัย และความต้องการของผู้เข้ารับบริการเป็นหลักก่อน
  2. เตรียมร่างกายให้พร้อม ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่อันตราย

    ก่อนการผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการทำตามข้อปฏิบัติตัวก่อนดูดไขมันก่อนอย่างละเอียด เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสุขภาพที่ดีพร้อมสำหรับการดูดไขมัน และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทั้งก่อน ระหว่าง และหลังทำด้วย
  3. ระงับความรู้สึกด้วยการดมยาสลบ หรือยาชา (ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และปริมาณที่ต้องทำการดูด)

    กระบวนการดูดไขมันจะเริ่มจากการระงับความเจ็บปวด โดยแพทย์วิสัญญีจะเป็นผู้ดูแลการให้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ตามดุลยพินิจของแพทย์ อันจะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่เรามี ตำแหน่งที่เลือกดูดไขมัน และความเหมาะสมอื่น ๆ ของแต่ละบุคคล
  4. ฉีดน้ำยา Tumescent เพื่อลดความเจ็บปวด และสูญเสียเลือด

    หลังระงับความรู้สึก แพทย์จะใส่ Tumescent ซึ่งประกอบด้วยน้ำเกลือ ยาชา และสารประกอบอื่น ๆ เข้าไปในใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้เส้นเลือดและเส้นประสาทหดตัว ลดการสูญเสียเลือดมาก ลดอาการบวมช้ำ ลดการอักเสบ และช่วยให้หลังทำร่างกายสามารถพื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
  5. ทำการดูดไขมันในตำแหน่งที่วางแผนรักษาไว้

    เมื่อเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเริ่มใช้เครื่องมือดูดไขมัน โดยการสอดท่อดูดไขมันเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังผ่านแผลเดียวกัน จากนั้นจะเปิดใช้งานเพื่อส่งพลังงานเข้าไปช่วยแยกไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง และดูดออกมาผ่านท่อ เข้าสู่ถังเก็บไขมันภายใต้ระบบสุญญากาศ โดยในกรณีที่ต้องการนำไขมันไปเติมต่อ แพทย์จะมีการใช้เทคนิคหรือเครื่องมืออื่น ๆ เพิ่มเติมในการเก็บเกี่ยวไขมันเพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอดของเซลล์ให้มากขึ้น
  6. ปิดแผลและใส่ชุดกระชับพิเศษ

    หลังจากดูดไขมันเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัด ทำการเย็บปิดแผลแบบเปิดทิ้งไว้เล็กน้อย เพื่อให้สามารถระบายของเหลวและน้ำใต้ผิวหนังออกมาได้สะดวก จากนั้น จะทำการสวมชุดกระชับเฉพาะตำแหน่งให้กับผู้เข้ารับบริการ แล้วนำส่งไปยังห้องพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการทุก ๆ 30 นาทีว่ามีความผิดปกติอื่นใดหรือไม่
ดูดไขมัน เตรียมตัวอย่างไร

การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมัน

  • เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้รับมือกับผลข้างเคียงได้ดีขึ้น
  • เข้ารับการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ตามคำแนะนำของแพทย์
  • แจ้งข้อมูลส่วนตัวทางสุขภาพ เช่น ประวัติการรักษาโรค การใช้ยา การแพ้ยา ฯลฯ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงขึ้นไปก่อนวันจริง
  • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • งดน้ำและอาหารก่อนถึงชั่วโมงดูดไขมันจริงอย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป

การดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

  • รักษาความสะอาดของแผลด้วยการทำแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • ห้ามให้แผลโดนน้ำหรือเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ดื่มน้ำและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • สวมชุดกระชับหลังดูดไขมันอย่างน้อยวันละ 22 ชม. และปลดคลาย 30-60 นาทีวันละ 2 ครั้ง
  • ไม่นอนหรือนั่งอยู่กับที่ตลอดทัังวัน ต้องเคลื่อนไหวช้า ๆ เล็กน้อยทุก 1-2 ชม. เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกาย
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่
  • ไม่ทานอาหารเสริม โดยเฉพาะชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ไอบูโพรเฟน, แอสไพริน, วาร์ฟาริน, น้ำมันปลา, วิตามินอี หรือแปะก๊วย เป็นต้น (หากต้องการทานอาหารเสริม แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน)
  • งดออกกำลังกายและงดใช้แรงหนักในช่วง 1 เดือนแรก
  • สังเกตอาการของตัวเองสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติจะต้องรีบติดต่อเพื่อพบแพทย์ทันที

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากการดูดไขมัน

       การดูดไขมันนั้นสามารถเกิดผลข้างเคียงได้หลากหลายเหมือนกับการทำศัลยกรรมแบบอื่น ๆ โดยจะมีทั้งผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้ และผลข้างเคียงที่ไม่ปกติซึ่งต้องพบแพทย์โดยทันที ดังนี้

ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป

        หลังดูดไขมันมักจะมีผลข้างเคียงเบื้องต้นอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ ได้แก่

  • อาการบวมอักเสบ ช้ำ เนื่องจากเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • รู้สึกเจ็บแผลเล็กน้อย หรือไม่สบายตัว บางรายอาจตึงบริเวณที่ทำ
  • มีรอยแดงหรือผิวเป็นคลื่นเล็กน้อย จะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อลดอาการ
  • อาการชาหรือไวต่อการสัมผัส จากการบาดเจ็บของเส้นประสาท ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 1-3 เดือน
  • เกิดการสะสมของก้อนไตหรือของเหลวใต้ผิว สามารถหายได้หากรับการนวดเดรนน้ำเหลือง
  • เป็นรอยแผลเป็นจากการเปิดแผลดูดไขมัน แต่หายได้ด้วยการทำเลเซอร์หรือทายา

ผลข้างเคียงที่ไม่ปกติ ต้องพบแพทย์โดยด่วน

  • หลังทำมีไข้สูงมากกว่า 38°C
  • มีเลือดออกจากแผลในปริมาณมาก เลือดไหลไม่หยุด
  • แผลมีกลิ่นหรือมีน้ำหนองไหลออกมา แปลว่าเกิดการติดเชื้อ
  • ผิวเปลี่ยนสีคล้ำผิดปกติ บริเวณรอบแผลแดงไม่หายสักทีหรือเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ
  • ความเจ็บ ปวด หรือระบมไม่ลดลงเลย
  • หายใจลำบากหรือเจ็บหน้าอก

       แม้การดูดสลายไขมันจะมีผลข้างเคียงหลายข้อที่น่าเป็นกังวล แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลากหลายที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน ดังนั้น เราจึงต้องทำความเข้าใจปัญหาและศึกษาวิธีแก้ไขอย่างละเอียดก่อน หากพบความผิดปกติก็ควรจะแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เพื่อหาทางรับมืออย่างปลอดภัย

ดูดไขมัน สามารถทำพร้อมกับอะไรได้บ้าง?

       การดูดไขมันสามารถทำพร้อมกับการศัลยกรรมหรือหัตถการอื่น ๆ ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตัดหนังหน้าท้อง การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน การฉีดไขมัน การทำยกกระชับผิวหนัง เป็นต้น

       อย่างไรก็ตาม ผู้เข้ารับบริการจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาวะร่างกายว่าเหมาะกับการทำศัลยกรรมหรือหัตถการอื่น ๆ ประเภทใดบ้าง และต้องทำความเข้าใจด้วยว่าหากทำหลายอย่างพร้อมกัน อาจจะทำให้เราต้องการเวลาพักฟื้นและวินัยในการดูแลหลังทำมากขึ้นด้วย

หลังดูดไขมัน ต้องพักฟื้นกี่วัน?

       ระยะเวลาการพักฟื้นหลังการดูดไขมันจะต้องใช้อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัวจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ อย่างไรก็ตาม หลังดูดไขมันพักฟื้นกี่วันอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของผู้เข้ารับบริการ, ตำแหน่งที่เลือกดูดไขมัน, ปริมาณไขมันที่ดูดออกมาได้, เทคนิคและเครื่องดูดไขมันที่เลือก, ความชำนาญของแพทย์ ไปจนถึงความเคร่งครัดในการดูแลตัวเองหลังทำ

ผลลัพธ์ของการดูดไขมันเป็นอย่างไร กี่วันถึงจะเข้าที่?

       ผลลัพธ์ของการดูดไขมันจะเริ่มเห็นได้ทันทีหลังทำ แต่จะเข้าที่ชัดเจนประมาณ 1-3 เดือน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจนอย่างท้ายที่สุดภายใน 6 เดือน โดยในช่วง 3–7 วันแรก อาจมีอาการบวม ตึง และช้ำเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2–4 หากมีการดูแลหลังทำอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สัดส่วนเริ่มกระชับและเข้ารูปได้เร็วขึ้น

       แม้จะเห็นผลเบื้องต้นในเวลาไม่นานนัก แต่จริง ๆ แล้ว หลังดูดไขมันกี่วันถึงเข้าที่นั้น จะขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง เช่น การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และรักษาน้ำหนักให้คงที่ เพราะถึงแม้ไขมันที่ถูกดูดออกจะไม่กลับมาสะสมเท่าเดิม แต่หากมีพฤติกรรมที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ไขมันในจุดอื่น ๆ ยังคงสามารถกลับสะสมได้ จึงควรมองว่าการดูดไขมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปรับรูปร่างให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ต้องการเร็วขึ้น ไม่ใช่การลดน้ำหนักหรือลดสัดส่วนแบบถาวร

ดูดไขมันที่ไหนดี? แนะนำวิธีการเลือกโรงพยาบาลดูดไขมันอย่างเหมาะสม

      การดูดไขมันควรทำที่โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง มีแพทย์ผู้ชำนาญการและมีประสบการณ์ด้านการดูดไขมันมาก่อน และจะต้องสามารถให้บริการเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วย โดยควรเลือกสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข มีห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน มีระบบปลอดเชื้อ ระบบไฟสำรองฉุกเฉิน และระบบติดตามผลหลังทำอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ควรมีมาตรการที่ช่วยอำนวยความสะดวกหลังทำ เช่น ทีมวิสัญญีแพทย์ เครื่องดมยาสลบ การตรวจชั้นผิวหนังและปริมาณไขมันก่อนทำ เป็นต้น

      นอกจากนี้ แพทย์ผู้ทำการดูดไขมันควรเป็นผู้มีประสบการณ์และเข้าใจทั้งกายวิภาคและศิลปะในการปั้นรูปร่าง ซึ่งเราจะต้องดูรีวิวจากผู้เข้ารับบริการจริงประกอบเสมอ เพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ตัวเราเองมากที่สุด นอกจากนี้ การดูแลหลังดูดไขมัน เช่น การนวดกระชับ การติดตามอาการ และคำแนะนำเฉพาะบุคคลก็เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกสถานพยาบาลที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน

ดูดไขมันราคาเท่าไหร่

      ราคาดูดไขมันเริ่มต้นจะอยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ราคาดูดไขมันมีค่าใช้จ่ายหลายส่วนที่ต้องพิจารณา ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามวิธีที่ใช้ เครื่องมือ เทคนิค ไปจนถึงเงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่สถานพยาบาลนั้นมี เราจึงควรสอบถามรายละเอียดของแต่ละที่ไปเลยจะดีที่สุด

ราคาดูดไขมัน รวมค่าใช้จ่ายส่วนไหนบ้าง?

      จากที่บอกไปว่าค่าใช้จ่ายในการดูดไขมันนั้นมีหลายส่วนด้วยกัน โดยอาจจะรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จหรือไม่ก็ได้ ดังนี้

  • ค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัด
  • ค่าวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
  • ค่าธรรมเนียมบริการของสถานพยาบาล
  • ค่ายาสำหรับทานหลังทำ
  • ค่าบริการห้องพักฟื้น
  • ค่าห้องพัก 1-2 คืน (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
  • ค่าชุดกระชับหลังดูดไขมัน
  • ค่าประกัน

      
      โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าดูแลหลังทำหรือค่ายาที่แพทย์สั่งจ่ายอาจจะไม่รวมอยู่ในราคาดูดไขมัน และอาจจะไม่รวมกับค่าประกันด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ให้สอบถามรายละเอียดอย่างชัดเจนที่สุดก่อนตัดสินใจ

คุณหมอชวนคุย ควรเลือกดูดไขมันเฉพาะจุด หรือดูดไขมันทั้งตัวดี แบบไหนปลอดภัยกว่ากัน

ถ้าให้หมอแนะนำ การดูดไขมันเฉพาะจุดจะปลอดภัยกว่าในภาพรวมครับ เพราะเราสามารถควบคุมปริมาณไขมันที่ดูดออกได้แม่นยำมากกว่า และช่วยให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงจากการเสียเลือดมากได้ด้วย ซึ่งบางครั้งแค่แก้ไขจุดเล็ก ๆ ก็เปลี่ยนรูปร่างโดยรวมได้แล้วครับ แต่ในบางเคสที่อยากปรับหลายจุดพร้อมกัน หรือเป็นเคสที่มีไขมันสะสมทั้งตัวเยอะมาก ๆ การดูดไขมันทั้งตัวก็ทำได้ครับ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหมออย่างใกล้ชิด และจะต้องมีการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบมาก ๆ ที่สำคัญคือ ปริมาณไขมันที่ดูดในแต่ละครั้งต้องไม่มากเกินขีดจำกัดของผู้เข้ารับบริการด้วย

รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูดไขมัน

       อย่างที่เห็นว่ามันมีข้อมูลเยอะมาก ๆ ที่เราต้องทำความเข้าใจ ดังนั้น หลายคนจึงอาจจะมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูดไขมัน เราได้รวบรวมมาให้เบื้องต้นแล้ว!

1. ดูดไขมันช่วยลดน้ำหนักได้ไหม?

        การดูดไขมัน ไม่ใช่การลดน้ำหนัก เป็นการกำจัดไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเท่านั้น น้ำหนักจึงไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังทำ แม้เราจะมีไขมันใต้ผิวหนังเยอะก็ตาม เพราะโดยปกติแล้ว มวลไขมันไม่ได้มีน้ำหนักเยอะ เมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อในปริมาณเท่ากัน

      ผลลัพธ์หลังดูดไขมันสามารถอยู่ได้นานหลายปี หากดูแลรักษาด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพราะเซลล์ไขมันที่ถูกดูดออกจะไม่กลับมาอีก แต่หากน้ำหนักขึ้น ไขมันส่วนที่เหลือยังสามารถสะสมเพิ่มขึ้นมาได้

      แตกต่างกันในแง่ของโครงสร้างไขมัน โดยผู้ชายมักมีไขมันน้อยกว่าแต่ความหนาแน่นของเซลล์ไขมันมากกว่า และสัดส่วนกล้ามเนื้อจะมีความชัดกว่า ส่วนการดูดไขมันผู้หญิงมักเน้นความเพรียว กระชับ เช่น เอว สะโพก หรือต้นขา จะมีความโค้งเว้าอย่างนุ่มนวลกว่า แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

      โดยทั่วไปไม่สามารถเบิกประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตได้ เพราะจัดอยู่ในกลุ่มหัตถการเพื่อความงาม ไม่ใช่การรักษาทางการแพทย์ เว้นแต่มีภาวะแทรกซ้อนที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ควรสอบถามที่ปรึกษาทางกฎหมายก่อนตัดสินใจ

        หากทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการดูดไขมันในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการตรวจสุขภาพก่อนทำ และใช้วิธีการดูดไขมันอย่างเหมาะสมต่อปัญหาของเรา ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

      ต่างกันในเรื่องของรูปทรงและการรองรับสรีระ เช่น บริเวณหน้าอก เอว และสะโพก ชุดของผู้ชายจะออกแบบให้เหมาะกับกล้ามเนื้อและขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่า ส่วนชุดกระชับหลังดูดไขมันของผู้หญิงจะเน้นความโค้ง เอวคอด สัดส่วนเพรียวมากกว่า

      ไม่แนะนำให้ทำการนวดด้วยตัวเองหรือให้ผู้อื่นนวดให้ เพราะการนวดหลังดูดไขมันนั้นมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจต้องพึ่งพาเครื่องมือหรือเทคนิคเข้ามาเสริมเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดียิ่งขึ้น จึงควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนตัดสินใจ

        โดยทั่วไปแนะนำให้นวด RF หลังดูดไขมันประมาณ 5–10 ครั้ง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณไขมันที่ดูด แพทย์อาจนัดนวดทุกสัปดาห์ในช่วง 1–2 เดือนแรก เพื่อช่วยให้ผิวกระชับและลดอาการอักเสบให้ดีขึ้น

      สามารถนอนได้หากไม่ได้ดูดไขมันบริเวณที่รับแรงกด แต่ควรหลีกเลี่ยงท่านอนที่กดทับบริเวณแผล เช่น หากดูดหน้าท้องควรนอนหงาย หรือนอนเอนตัวเล็กน้อยในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะดีที่สุด

        ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ปลา ไข่ ถั่ว เนื้อไม่ติดมัน เพื่อช่วยให้แผลหายเร็ว และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ

        หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารไขมันสูง น้ำตาลสูง อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง แอลกอฮอล์ และอาหารที่กระตุ้นการอักเสบ เพราะอาจทำให้บวมอักเสบนานกว่าเดิม ฟื้นตัวช้าลง จนเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอนาคตได้

        หากทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการดูดไขมันในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีการตรวจสุขภาพก่อนทำ และใช้วิธีการดูดไขมันอย่างเหมาะสมต่อปัญหาของเรา ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูดไขมัน

สรุปบทความ

        การดูดไขมัน คือการศัลยกรรมที่เน้นกำจัดส่วนเกินในรูปของไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ไม่ใช่การลดน้ำหนัก และไม่สามารถใช้ลดไขมันในช่องท้องได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในผลลัพธ์หลังดูดไขมันคือ สัดส่วนของเราจะลดลงอย่างชัดเจน ทำให้เราเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น ช่วยลดไซซ์เสื้อผ้า ช่วยโอกาสพื้นที่เบียดเสียดสีของผิว และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเราหลังทำ แต่อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันนั้นมีขั้นตอนที่หลากหลาย มีเครื่องมือหลายประเภท และต้องอาศัยความชำนาญพร้อมประสบการณ์ของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

แชร์ :