
ตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck) กำจัดผิวหนังหย่อนคล้อย ให้เต่งตึง!
การตัดหนังหน้าท้อง เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่งที่เน้นกำจัดผิวหนังส่วนเกินที่มีความหย่อนคล้อยรุนแรง โดยการศัลยกรรมประเภทนี้สามารถกำจัดได้ทั้งส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง หน้าอก ต้นแขน หรือต้นขาที่มีความย้วยหนัก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผิวหนังยืดหรือหดมากจนเกินไป นำไปสู่การหย่อนคล้อยที่อาจแก้ได้ยากด้วยการออกกำลังกายหรือคุมอาหารเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะคนที่ผ่านการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือคุณแม่หลังคลอด
การตัดหนังหน้าท้อง จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อช่วยฟื้นฟูรูปร่างและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เพิ่งคลอดบุตรและต้องการคืนความกระชับให้กับหน้าท้อง หรือผู้ที่ลดน้ำหนักลงมาเป็นจำนวนมากแต่ยังมีผิวหนังส่วนเกินเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดหนังหน้าท้องนั้นไม่ใช่การผ่าตัดเล็ก จึงจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการ ผลลัพธ์ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย
ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับการตัดหนังหน้าท้องอย่างละเอียด ตั้งแต่ประเภทของวิธีการผ่าตัด ขั้นตอนการเตรียมตัว กระบวนการผ่าตัด การฟื้นตัว ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และคำถามที่พบบ่อย เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้นเหมาะกับเราหรือไม่
เลือกอ่านตามหัวข้อได้ที่นี่
ตัดหนังหน้าท้อง คืออะไร?
การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า Abdominoplasty) เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมที่มุ่งเน้นการกำจัดผิวหนังและไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง รวมถึงการกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวบริเวณหน้าท้องได้สัดส่วนมากขึ้นและช่วยลดความหย่อนคล้อยรุนแรง ซึ่งมักไม่สามารถแก้ได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการทำหัตถการทั่วไปเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
หลายคนมักจะมีความกังวลว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้นน่ากลัว อันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดหนังหน้าท้องนั้นถูกพัฒนามาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1800 นับจนถึงปัจจุบันก็ยาวนานหลายศตวรรษ โดยเริ่มต้นมาจากการผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วยไส้เลื่อน ซึ่งระหว่างกระบวนการผ่าตัดนั้นจะต้องมีการตัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณหน้าท้องออกไปด้วย ทำให้หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมีหน้าท้องที่กระชับและดูดียิ่งขึ้น นับเป็นความไม่ตั้งใจที่นำมาสู่การค้นพบแนวทางอื่น ๆ สำหรับการศัลยกรรมตกแต่งหน้าท้องให้สวยงามยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เมื่อสำรวจสถิติการศัลยกรรมเพื่อความงามที่ได้รับความนิยมสูงสุดช่วงปี ค.ศ. 2021-2023 การตัดหนังหน้าท้อง คือการศัลยกรรมที่ติดหนึ่งในสามอันดับ เป็นรองเพียงการดูดไขมันและการเสริมหน้าอกเท่านั้น ทั้งยังได้รับความนิยมตั้งแต่กลุ่มอายุ 18-64 ปี (อ้างอิงจาก Aesthetic Plastic Surgery National Databank Statistics 2023)
จะเห็นได้ว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้น มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน และการได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทำให้มีการพัฒนาความรู้ทางเทคนิคหลากหลายมากขึ้น เราจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัดผิวหนังส่วนเกิน เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เรามาดูหัวข้อถัดไปกันเลย
การตัดหนังหน้าท้อง มีกี่แบบ?
การตัดหนังหน้าท้องไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความหย่อนคล้อยของผิวหนัง ปริมาณไขมันที่ต้องกำจัด และความต้องการของผู้เข้ารับบริการเอง โดยการเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและเป้าหมายของแต่ละบุคคล มาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
การตัดผิวหนังหน้าท้องเฉพาะส่วน (Mini Tummy Tuck)
การตัดผิวหนังหน้าท้องเฉพาะส่วน หรือ Mini Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยและไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องส่วนล่างเท่านั้น โดยศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกเฉพาะบริเวณใต้สะดือ และอาจมีการดูดไขมันร่วมด้วยหากจำเป็น
การตัดไขมันหน้าท้องวิธีนี้ไม่ได้เน้นการปรับแก้กล้ามเนื้อหน้าท้อง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาน้อยหรือผิวหนังหย่อนคล้อยไม่มากเท่านั้น ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กและแพทย์มักจะเลือกกำจัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณใต้ขอบชั้นใน จึงช่วยซ่อนแผลได้ดี ระยะฟื้นตัวจะสั้นกว่าการตัดไขมันหน้าท้องแบบอื่น ๆ
ข้อดีของ Mini Tummy Tuck
- แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก
- ระยะเวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด
ข้อเสียของ Mini Tummy Tuck
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกได้
- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาน้อยเท่านั้น
การตัดผิวหนังหน้าท้องเต็มรูปแบบ (Full Tummy Tuck)
การตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบ หรือ Full Tummy Tuck เป็นวิธีการผ่าตัดที่ครอบคลุมทั้งหน้าท้องส่วนบนและส่วนล่าง ศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกจากบริเวณเหนือสะดือลงมาจนถึงใต้สะดือ พร้อมทั้งกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยอาจมีการผ่าตัดเย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แยกหรือหย่อนคล้อยไปด้วย
การตัดไขมันหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง เช่น ผู้ที่ผ่านการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมาก่อน หรือกลุ่มคุณแม่หลังคลอดที่หน้าท้องหย่อนคล้อยรุนแรงมาก โดยแผลผ่าตัดจะอยู่บริเวณใต้สะดือและอาจต้องมีการย้ายตำแหน่งสะดือใหม่ (ศัลยแพทย์จะผ่าตัดตกแต่งสะดือให้ไปพร้อมกัน) บางรายที่มีไขมันสะสมมาก ก็สามารถเลือกดูดไขมันเข้ามาช่วยได้เช่นกัน
ข้อดีของ Full Tummy Tuck
- ช่วยกำจัดผิวหนังส่วนเกิน กระชับสัดส่วนทั้งหน้าท้องส่วนบนและส่วนล่าง
- แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกได้ชัดเจน
- เหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจนมีผิวหนังส่วนเกินเยอะ
- ช่วยให้รูปร่างหน้าท้องสวยงาม เพราะสามารถตัดแต่งสะดือให้สวยขึ้นได้
- รูปร่างและสัดส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ข้อเสียของ Full Tummy Tuck
- แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่และอยู่บริเวณใต้สะดือ ทำให้อาจจะเห็นแผลชัดเจนกว่า
- ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า เนื่องจากแผลใหญ่กว่า
- อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบรอบทิศทาง (Circumferential Tummy Tuck)
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบรอบทิศทาง หรือ Circumferential Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินตั้งแต่หน้าท้อง รอบเอว และหลังส่วนล่าง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยรุนแรงรอบลำตัว ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนที่น้ำหนักตัวมาก ๆ (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 ขึ้นไป) เมื่อผ่านการลดน้ำหนักมาแล้ว มักมีแนวโน้มเกิดความหย่อนคล้อยของผิวระดับรุนแรง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว
สำหรับการตัดไขมันหน้าท้องแบบรอบทิศทาง ศัลยแพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลรอบลำตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยจะมีการกำหนดตำแหน่งผ่าตัดลงบนผิวของผู้เข้ารับบริการ เพื่อวางแผนก่อนล่วงหน้าให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุลและแม่นยำ ซึ่งศัลยแพทย์จะพยายามกำหนดให้แผลผ่าตัดจะอยู่รอบลำตัวบริเวณใกล้ขอบชั้นใน
ข้อดีของ Circumferential Tummy Tuck
- กำจัดส่วนเกินได้ครอบคลุมกว่า
- ลดไขมันรอบเอว ลดห่วงยางรอบเอวได้
- สัดส่วนเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง
ข้อเสียของ Circumferential Tummy Tuck
- แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่มาก
- อาจมองเห็นแผลได้ชัดเจน (ขึ้นอยู่กับบริเวณการผ่าตัด)
- ระยะเวลาฟื้นตัวค่อนข้างนานมาก เพราะแผลมีขนาดใหญ่
- การดูแลตัวเองหลังทำซับซ้อนมากกว่า
- มีความเสี่ยงสูงกว่าวิธีอื่น ๆ
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิส หรือแบบกากบาท (Fleur-de-lis Tummy Tuck)
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิส หรือ Fleur-de-lis Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งสามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกิน กำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ผ่าตัดเย็บตัดแต่งกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กระชับมากขึ้น และตกแต่งสะดือได้ด้วยเช่นกัน
วิธีตัดไขมันหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิสจะแตกต่างจากการตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบและแบบรอบทิศทาง โดยแผลผ่าตัดจะมีลักษณะเป็นรูปกากบาท ศัลยแพทย์จะลงมีดผ่าตัดแนวตั้งบริเวณกึ่งกลางหน้าท้องจากใต้หน้าอกลงมาถึงแผลแนวนอน ซึ่งจะอยู่บริเวณเหนือหัวหน่าว (คล้ายกับการผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ) ทำให้สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และช่วยกระชับส่วนเอวให้เข้ารูปมากขึ้น
ข้อดีของ Fleur-de-lis Tummy Tuck
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก
- สามารถกระชับสัดส่วนเอวให้เข้ารูปมากขึ้น
- กำจัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณกว้างได้
- สัดส่วนโดยรวมเปลี่ยนแปลงชัดเจน
ข้อเสียของ Fleur-de-lis Tummy Tuck
- แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่มาก
- เห็นรอยแผลผ่าตัดชัดเจน ซ่อนแผลไม่ได้
- ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าวิธีอื่น
- การดูแลแผลมีความซับซ้อนมากกว่า
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบย้อนกลับ (Reverse Tummy Tuck)
การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบย้อนกลับ หรือ Reverse Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่เน้นแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณหน้าท้องส่วนบนเท่านั้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนบนหย่อนคล้อยรุนแรง แต่ไม่ได้มีปัญหาบริเวณหนังหน้าท้องส่วนล่าง
ศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกเฉพาะบริเวณหน้าท้องส่วนบน โดยแผลผ่าตัดจะเป็นแนวนอน พาดอยู่ใต้หน้าอก ทำให้สามารถซ่อนแผลได้ง่าย แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนล่างหย่อนคล้อยหรือผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยก เนื่องจากไม่สามารถเย็บกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องได้
ข้อดีของ Reverse Tummy Tuck
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนบนหย่อนคล้อย
- แผลผ่าตัดสามารถซ่อนไว้ใต้หน้าอกได้ ทำให้เห็นแผลไม่ชัดเจน
- ช่วยปรับหน้าท้องให้กระชับแบบเฉพาะจุด ไม่ต้องผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ
ข้อเสียของ Reverse Tummy Tuck
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนังหน้าท้องส่วนล่างหย่อนคล้อยได้
- อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง เพราะเน้นแก้แบบเฉพาะจุดมากกว่า
- อาจเห็นว่ามีแผลเป็นใต้หน้าอกเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย
ใครเหมาะกับการตัดหนังหน้าท้องบ้าง?
การตัดหนังหน้าท้องเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อยหรือไขมันสะสม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกายหรือกระชับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีกลุ่มที่เหมาะและไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง ดังนี้
กลุ่มคนที่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง
- ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรงมาก
- ผู้ที่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (Diastasis Recti) ซึ่งมักเกิดหลังผ่านการตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องในปริมาณมาก ร่วมกับมีความหย่อนคล้อยของผิว
- ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด
- ผู้ที่ต้องการปรับสัดส่วนหน้าท้องให้กระชับและเรียบเนียน เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง
- ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ในอนาคต เพราะอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยซ้ำซ้อน
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่คงที่ หรือยังมีแผนจะลดน้ำหนัก ควรทำตามแผนก่อนแล้วจึงตัดสินใจอีกที
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่มีปัญหาหรือโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ที่ไม่พร้อมสำหรับการพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวหลายสัปดาห์
ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถตัดหนังหน้าท้องได้
สำหรับบางกรณีที่เราไม่สามารถทำการตัดหนังหน้าท้องได้ หรืออาจไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง อาจสามารถทำศัลยกรรมหรือหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น
- การดูดไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมแต่ไม่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย
- การใช้เทคโนโลยี Non-invasive เช่น การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) หรือเลเซอร์เพื่อกระชับผิว เป็นต้น
- การสวมชุดกระชับ ช่วยปรับหุ่นและกระชับสัดส่วนได้ชั่วคราว สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด
- การทำกระชับผิวด้วย J Plasma เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยระดับปานกลาง ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ เวลาพักฟื้นน้อยกว่า
- การใช้ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเยอะมาก ๆ อาจต้องคุมอาหารและลดน้ำหนักก่อนตัดหนังหน้าท้อง การใช้ปากกาลดน้ำหนักจะมีส่วนช่วยให้เราสามารถคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
ขั้นตอนการตัดหนังหน้าท้อง ดำเนินการอย่างไร?
การตัดหนังหน้าท้อง เป็นกระบวนการที่ต้องวางแผนอย่างละเอียดและดำเนินการโดยศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งจะมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ปรึกษาและประเมินสภาพร่างกาย
ก่อนการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินสภาพผิวหนัง ไขมัน และกล้ามเนื้อหน้าท้องของผู้เข้ารับบริการ รวมถึงซักประวัติสุขภาพเพื่อตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย โดยผู้เข้ารับบริการจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัด ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดหนังหน้าท้องด้วย
ขั้นตอนที่ 2 การวางยาสลบ
ในวันผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการจะได้รับการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ ซึ่งจะต้องมีวิสัญญีแพทย์หนึ่งท่านดูแลผู้เข้ารับบริการหนึ่งคน เพื่อให้การดูแลได้อย่างทั่วถึง โดยหน้าที่ของวิสัญญีแพทย์หรือหมอดมยาจะต้องมีการคำนวณปริมาณยาสลบ สัดส่วน เวลา และระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัด
ขั้นตอนที่ 3 เริ่มการผ่าตัดหนังหน้าท้อง
ศัลยแพทย์จะเริ่มด้วยการเปิดผ่าตัดด้วยมีดผ่าตัด โดยความยาวของแผลขึ้นอยู่กับประเภทของการตัดหนังหน้าท้องที่เลือกทำ จากนั้นจะทำการแยกผิวหนังออกจากกล้ามเนื้อหน้าท้องเพื่อเข้าถึงชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจใช้ทั้งมีดผ่าตัดธรรมดาและมีดจี้ไฟฟ้าเพื่อลดการเสียเลือด จากนั้นก็จะเข้าสู่การตัดแต่งและกำจัดส่วนเกินตามแผนที่ได้วางเอาไว้
ขั้นตอนที่ 4 เย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กระชับ (ถ้าจำเป็น)
สำหรับกรณีที่ผู้เข้ารับบริการมีปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยก ศัลยแพทย์จะทำการซ่อมแซมกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หย่อนคล้อยหรือแยกออกจากกัน โดยการดึงกล้ามเนื้อทั้งสองด้านเข้าหากันและเย็บให้แน่น เพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และทำให้สัดส่วนกระชับเข้ารูปมากยิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ 5 การย้ายตำแหน่งสะดือ (ถ้าจำเป็น)
ในกรณีที่ทำการตัดหนังหน้าท้องขนาดใหญ่ เช่น การตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบ หรือการตัดหนังหน้าท้องแบบรอบทิศทาง ศัลยแพทย์อาจต้องย้ายตำแหน่งสะดือให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ 6 เย็บปิดแผล
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินและตัดไขมันหน้าท้องเรียบร้อยแล้ว ศัลยแพทย์จะทำการเย็บปิดแผลด้วยเทคนิคต่าง ๆ โดยมักจะเป็นการใช้ไหมผ่าตัดแบบไม่ละลาย ซึ่งเราจะต้องกลับมาให้ศัลยแพทย์ตัดไหมในช่วงเวลาที่กำหนดด้วย
ขั้นตอนที่ 7 พักฟื้นหลังผ่าตัด
ผู้เข้ารับบริการจะถูกพาไปยังห้องพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการหลังการผ่าตัด และเมื่อฟื้นตัวเรียบร้อยแล้ว จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล การใช้ยาชนิดต่าง ๆ ที่แพทย์จ่ายให้ ไปจนถึงข้อควรปฏิบัติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหลังผ่าตัดหนังหน้าท้อง
การเตรียมตัวตัดหนังหน้าท้อง
การตัดหนังหน้าท้องเป็นการผ่าตัดที่ต้องเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดอย่างดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ตอบโจทย์ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เรามาดูกันว่าจะต้องเตรียมตัวก่อนและหลังตัดไขมันหน้าท้องอย่างไรบ้าง
เตรียมตัวก่อนตัดหนังหน้าท้อง
- ปรึกษาศัลยแพทย์เกี่ยวกับความคาดหวัง ผลลัพธ์ที่จะได้ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการตัดหนังหน้าท้อง เพื่อให้เราสามารถเตรียมพร้อมและเข้าใจข้อมูลได้อย่างชัดเจน
- ตรวจสุขภาพ ตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อประเมินความพร้อมก่อนผ่าตัด
- หยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและไม่ให้ไปขัดขวางการสมานตัวของแผล
- งดยาและอาหารเสริมทุกชนิด โดยเฉพาะชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- เตรียมสิ่งของที่จำเป็นต่อการพักฟื้นเอาไว้ให้เรียบร้อย เช่น เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์ทำแผล (ทางโรงพยาบาลมักจัดเตรียมเอาไว้ให้) เป็นต้น
- ทำความสะอาดสถานที่สำหรับพักฟื้นที่บ้านเอาไว้ให้เรียบร้อย ตั้งแต่เตียง หมอน ผ้าห่ม ไปจนถึงพื้นห้อง เพื่อให้ปลอดเชื้อมากที่สุด
- พาผู้ดูแลมาด้วยอย่างน้อย 1 คนเสมอ เนื่องจากผู้เข้ารับบริการอาจยังไม่ฟื้นตัวดีจากการดมยาสลบ จึงไม่ควรกลับบ้านคนเดียว ต้องมีคนดูแลหรือส่งถึงบ้านเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ดูแลตัวเองหลังตัดหนังหน้าท้อง
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับอย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงต่อวันในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก
- ดูแลความสะอาดของแผลผ่าตัดหน้าท้องให้ดี ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- สวมชุดกระชับหน้าท้องตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผิวหนังกระชับตัวเร็วขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและวิตามิน เพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ควรเริ่มจากการเดินเบา ๆ ก่อน และค่อย ๆ เพิ่มความหนักของกิจกรรมตามคำแนะนำของแพทย์
- ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ เพื่อตรวจแผลว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และเป็นการดูแลผลลัพธ์หลังการผ่าตัดด้วย
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดหนังหน้าท้อง ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง?
การตัดหนังหน้าท้องนับเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่อาจมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงได้ แม้ว่าจะทำโดยศัลยแพทย์ที่ผ่านการผ่าตัดมาก่อนแล้วก็ตาม โดยผลข้างเคียงหลังการตัดหนังหน้าท้องสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป
ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์
- อาการบวมและช้ำ เป็นอาการปกติหลังการผ่าตัด ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์
- อาการปวดและไม่สบายตัว สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง (ห้ามซื้อยามาทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน)
- รู้สึกชาบริเวณแผล เกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกระทบกระเทือน ทำให้แผลไวต่อการสัมผัส มักเป็นไม่นาน และสามารถหายเองได้
- เหนื่อยง่ายหรืออ่อนเพลียมาก เนื่องจากร่างกายกำลังฟื้นตัว ควรพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ชาบริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากเส้นประสาทที่ถูกกระทบกระเทือนระหว่างการผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเอง
- รอยแผลเป็น แผลผ่าตัดจะค่อย ๆ จางลงขึ้นอยู่กับการดูแลแผลและสภาพผิวของแต่ละคน
- มีของเหลวสะสมใต้ผิวหนัง (Seroma) มักเกิดจากการสะสมของน้ำเหลืองและของเหลวอื่น ๆ ที่ร่างกายขับออกมาใต้ผิวบริเวณที่เกิดการอักเสบ ซึ่งสามารถให้แพทย์แก้ไขได้ (แพทย์มักแก้ไขให้เมื่อเข้าพบตามนัด)
ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ (ต้องพบแพทย์โดยด่วน)
ผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการรักษาทันที
- การติดเชื้อ มีอาการบวมแดงร้อนบริเวณแผล มีหนอง หรือมีไข้
- เลือดออกผิดปกติ หรือเลือดไหลไม่หยุด จะต้องรีบพบแพทย์ทันที
- ลิ่มเลือดอุดตัน (Blood Clot) มีอาการปวดขา บวมแดง หรือหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด ต้องรีบถึงมือแพทย์โดยด่วนที่สุด
- แผลหายช้า แผลไม่ยอมสมานตัว, มีเนื้อตาย (Necrosis), แผลปริหรือฉีก ต้องให้แพทย์รักษาหรือเย็บแผลใหม่
- อาการแพ้ยาสลบ มีผื่นคัน หายใจลำบาก หรือเวียนศีรษะรุนแรง มักเกิดขึ้นในคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนามสกุลที่แพ้ยาสลบ เนื่องจากเป็นอาการแพ้ที่ส่งต่อผ่านพันธุกรรมได้
ตัดหนังหน้าท้อง ราคาเท่าไหร่?
ราคาเฉลี่ยของการผ่าตัดหนังหน้าท้องในไทยอยู่ที่ 80,000 – 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละเคส เช่น ประเภทของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง ขนาดของพื้นที่ที่จะผ่าตัด มาตรฐานของโรงพยาบาล ไปจนถึงเทคนิคที่ศัลยแพทย์เลือกใช้ด้วย
ราคาตัดหนังหน้าท้อง รวมค่าใช้จ่ายส่วนไหนแล้วบ้าง?
โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายในการตัดไขมันหน้าท้องมักรวมค่าใช้จ่ายหลายส่วน ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมผ่าตัดโดยศัลยแพทย์
- ค่าดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
- ค่าห้องผ่าตัดและอุปกรณ์
- ค่าบริการห้องพักฟื้น
- ค่าตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัด
- ค่าดูแลหลังผ่าตัดและยา
- ค่าชุดกระชับหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยในการพักฟื้น
Q&A : คำถามอื่น ๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตัดหนังหน้าท้อง
การตัดหนังหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดที่หลายคนสนใจ แต่ก็มักมีคำถามมากมายเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัด ผลลัพธ์หลังทำ ขั้นตอนและระยะเวลาในการฟื้นตัว ต่อไปนี้คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยที่เราได้รวบรวมมาให้เพิ่มเติม
ตัดหนังหน้าท้อง เจ็บไหม?
ระหว่างการผ่าตัด เราจะได้รับการดมยาสลบจึงทำให้ไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อฟื้นแล้ว อาจรู้สึกได้ถึงอาการปวดหรือตึงบริเวณแผลในช่วงแรกของการพักฟื้น ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์จ่ายให้ อาการปวดมักลดลงอย่างต่อเนื่องและดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
การตัดหนังหน้าท้อง ข้อเสียมีไหม?
ข้อเสียหลักของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง คือ มักทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานและต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจึงจะช่วยให้รอยจางลง, ระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน ซึ่งอาจมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน และมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบ เลือดออก บวมช้ำ หรือแผลหายช้า ทำให้ไม่สบายตัวหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ตัดหนังหน้าท้อง พักฟื้นกี่วัน?
โดยทั่วไปต้องพักฟื้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งสามารถกลับไปออกกำลังกายและทำกิจกรรมหนักได้เต็มที่มากขึ้นคือหลังจาก 1 เดือนหลังทำ แต่การฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จริง ๆ อาจใช้เวลาถึง 6-8 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลตัวเองหลังทำด้วยเช่นกัน
ตัดหนังหน้าท้อง มีแผลเป็นไหม?
การตัดหนังหน้าท้องนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะค่อย ๆ จางลงตามกาลเวลา แต่ทั้งนี้ แผลตัดหนังหน้าท้องมักจะอยู่บริเวณใต้สะดือหรือใต้ขอบชั้นใน จึงทำให้มองเห็นแผลไม่ชัดเจน และเรายังสามารถเลือกทำเลเซอร์ลดรอยแผลเป็นเพื่อให้แผลแลดูจางลงได้ด้วยเช่นกัน (ส่วนนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หรือทรีทเมนต์อื่น ๆ หลังผ่าตัด)
ตัดหนังหน้าท้องสามารถมีลูกได้อีกไหม?
สามารถตั้งครรภ์ได้หลังจากการผ่าตัดฟื้นตัวสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้วางแผนการมีบุตรให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดขยาย ซึ่งเราอาจจะต้องตัดสินใจตัดหนังหน้าท้องอีกครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาในการพักฟื้นและค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น
แผลผ่าตัดหน้าท้องกี่วันหาย?
สามารถเริ่มเคลื่อนไหวเบา ๆ ได้ภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่ควรหลีกเลี่ยงการเดินเป็นเวลานาน ๆ หรือการเคลื่อนไหวที่อาจกระทบกระเทือนต่อแผลผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้แผลฉีก ปริ หรือไม่สมานตัวได้ โดยทั่วไปแล้วแผลผ่าตัดหน้าท้องจะหายดีในช่วงหลัง 1 เดือนเป็นต้นไป
ผ่าตัดหน้าท้องควรนอนท่าไหน?
แนะนำให้นอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน หรือการนั่งเอนตัวประมาณ 45 องศา โดยใช้หมอนรองหลังและขาเอาไว้เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณแผล ลดอาการบวม และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
หลังการผ่าตัดกี่วันจึงจะสามารถเดินได้ตามปกติ?
สามารถเดินเบา ๆ ได้ภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด แต่ไม่ควรเดินติดต่อกันนานจนเกินไป หรือเดินเร็วเกินไป จนกว่าจะหายดีประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัดไขมันหน้าท้อง
ผ่าตัดหนังหน้าท้องกี่วันอาบน้ำได้?
โดยปกติสามารถอาบน้ำได้หลังจากแผลเริ่มแห้งและแพทย์ถอดสายระบายของเหลวออก (สำหรับกรณีที่แพทย์ใช้สายเดรนระบายเลือด) ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดความชื้นบริเวณแผล เช่น การอาบน้ำในอ่าง การว่ายน้ำ การอบซาวน่า ฯลฯ จนกว่าแผลจะหายสนิท
สรุป
การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck หรือ Abdominoplasty) เป็นการผ่าตัดที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไขมันสะสม และกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สูญเสียความกระชับไป ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการตั้งครรภ์ โดยการผ่าตัดหน้าท้องจะช่วยปรับผิวหน้าท้องให้เรียบเนียนและกระชับมากขึ้น ส่งผลให้รูปร่างโดยรวมดูสมส่วนกว่าเดิม
แม้ว่าการตัดหนังหน้าท้องจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ แต่ก็เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย ระยะเวลาพักฟื้น หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการตัดหนังหน้าท้องเพื่อประเมินความเหมาะสม และทำความเข้าใจกระบวนการผ่าตัดอย่างละเอียด
นอกจากนี้ การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดหน้าท้องอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์มากขึ้น หากใครกำลังมองหาวิธีปรับรูปร่างให้ดูกระชับ ลดผิวหย่อนคล้อน แก้ไขภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก การตัดหนังหน้าท้องก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน และเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด
We always take care of your mobility
24/7 Emergency
Tell : 064 445 5666