

เติมไขมัน (Fat Grafting) ปรับรูปร่าง สร้างผิวใส ด้วยไขมันตัวเอง!
การเติมไขมันหรือฉีดไขมัน เป็นการศัลยกรรมเพื่อเติมเต็มสัดส่วน ทั้งรูปหน้าและร่างกายให้ตรงตามความต้องการมากยิ่งขึ้น โดยจะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น เทคนิคการเติมไขมัน เครื่องมือ อุปกรณ์ สุขภาพของผู้เข้ารับบริการ ไปจนถึงคุณภาพการดูแลร่างกายหลังทำ ดังนั้น เราจึงต้องศึกษากันก่อนว่าการเติมไขมันหรือฉีดไขมันนั้นคืออะไร? มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
เติมไขมัน คืออะไร?
การเติมไขมัน (Fat Grafting) คือ การนำไขมันใต้ชั้นผิวหนังบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย ย้ายมาเติมส่วนที่เราต้องการ ผ่าน 3 ขั้นตอนด้วยกันได้แก่ การดูดเก็บไขมัน การคัดกรองไขมัน และการฉีดเติมไขมัน โดยตำแหน่งที่เราสามารถนำไขมันออกมาได้มีอยู่หลายจุด ยกตัวอย่างเช่น ต้นขาหรือหน้าท้อง ซึ่งเป็นส่วนที่มีไขมันสะสมมาก เหมาะกับการนำมาใช้ต่อ
โดยส่วนใหญ่แล้ว การเติมไขมัน คือการศัลยกรรมที่ทำได้ทุกเพศทุกวัย แต่ทั้งนี้ จะต้องผ่านการประเมินสภาพร่างกายจากศัลยแพทย์ก่อนเท่านั้น เนื่องจากระหว่างการดูดไขมันบางประเภทจะต้องมีการวางยาสลบและผ่าตัด หากต้องการเติมไขมัน เราจึงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงความปลอดภัยและรายละเอียดอื่น ๆ ของการเติมไขมัน

การเติมไขมัน มีกี่แบบ?
การเติมไขมันนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ การเติมไขมันแบบเก่า และ การเติมไขมันแบบใหม่ โดยจะแตกต่างกันตั้งแต่วิธีการ ขั้นตอนต่าง ๆ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน รายละเอียดทั้งหมดมีดังนี้

การเติมไขมันแบบเก่า
การเติมไขมันแบบเก่าเป็นวิธีที่มีการนำไขมันจากส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก แล้วนำมาฉีดกลับเข้าไปยังจุดที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ใบหน้า หน้าอก หรือสะโพก โดยจะมีขั้นตอนแบบทั่ว ๆ ไปได้แก่
- การดูดไขมัน ใช้เครื่องมือหรือใช้เข็มสำหรับเก็บไขมันใต้ชั้นผิวหนังออกมาจากบริเวณที่มีไขมันส่วนเกิน
- การกรองไขมัน กรองเอาของเหลวหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ออก เพื่อให้ได้ไขมันที่บริสุทธิ์ โดยใช้ตะแกรงที่แพทย์เป็นผู้ออกแบบขึ้นมาเอง
- การฉีดไขมัน นำไขมันที่ได้มาฉีดในบริเวณที่ต้องการ โดยใช้เข็มฉีดซึ่งต้องใช้ความแม่นยำในการฉีดของแพทย์เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอ
ข้อดีของการเติมไขมันแบบเก่า
- ราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะเคสที่เลือกการดูดไขมันแบบไม่ใช้เครื่องมือ
- พักฟื้นจากการดูดไขมันไม่นานเท่าใช้เครื่องมือ
ข้อเสียของการเติมไขมันแบบเก่า
- โอกาสที่ไขมันจะสลายตัวค่อนข้างสูงมาก
- เนื้อเยื่อโดยรอบอาจเกิดการอักเสบ ไม่สม่ำเสมอ
- ผลลัพธ์ไม่คงที่ ต้องเติมซ้ำบ่อย ๆ
- เก็บไขมันได้น้อย โดยเฉพาะกรณีที่ดูดไขมันแบบใช้เข็ม ไม่ใช้เครื่องดูดไขมัน
- ต้องเติมเผื่อไขมันสลายตัวในปริมาณมาก ทำให้มีอาการบวมเยอะ และทำให้ไขมันมีโอกาสอยู่รอดน้อยลงเพราะอัดแน่นกันเกินไป
การเติมไขมันแบบใหม่
การเติมไขมันแบบใหม่ได้พัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมัน ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายแนวทาง ยกตัวอย่างที่พบได้บ่อย เช่น
- การใช้ไขมันผสมสเต็มเซลล์ (Fat Stem Cell) เพิ่มคุณภาพและอัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมัน โดยเครื่องมือที่ใช้กันในปัจจุบันอย่างแพร่หลายคือ LipoCube
- การใช้เทคนิคการฉีดที่ละเอียดแม่นยำด้วยอุปกรณ์เฉพาะ ช่วยให้ไขมันกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวเช่น Maft Gun ที่ใช้สำหรับฉีดสารเติมเต็มอย่างแม่นยำเท่ากันทุกหยด
- การใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ลดโอกาสการอักเสบและเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการดูด-เติมไขมัน ตั้งแต่วิธีการผ่าตัด เครื่องดูดไขมัน ไปจนถึงอุปกรณ์สำหรับดูแลร่างกายหลังเติมไขมัน
ข้อดีของการดูดไขมันแบบใหม่
- อัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันสูงกว่ามาก
- ผลลัพธ์มีความเป็นธรรมชาติ นุ่มนวล
- ความเสี่ยงต่อการเกิดหินปูนหรือเป็นก้อนน้อย
- ไม่ต้องเติมเผื่อในปริมาณมาก จนทำให้เซลล์ไขมันอัดแน่นเกินไป
- กระบวนการมีความปลอดภัยมากขึ้น เสี่ยงต่อการอักเสบรุนแรงน้อยลง
ข้อเสียของการดูดไขมันแบบใหม่
- ราคาค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม และส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่น LipoCube 1 กล่อง/ 1 เคส
ตำแหน่งฉีดไขมัน มีจุดไหนบ้าง?
การฉีดไขมัน คือการเติมเต็มและปรับสัดส่วนรูปร่างหรือใบหน้าด้วยเซลล์ไขมันจากตัวเราเอง ดังนั้น จึงสามารถแบ่งตำแหน่งที่นิยมในการฉีดไขมันออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ใบหน้าและร่างกาย โดยแต่ละจุดมีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันดังนี้

Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
Add Your Tooltip Text Here
ตำแหน่งฉีดไขมันบนใบหน้า
การฉีดไขมันบริเวณใบหน้ามักจะใช้ปริมาณไขมันตั้งแต่ 10-100 cc (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งย่อย) เพื่อแก้ปัญหาผิวหน้าที่ดูโทรม ริ้วรอย หรือใบหน้าที่ดูแบน ขาดมิติ โดยตำแหน่งที่นิยมฉีด ได้แก่
- หน้าผาก เพิ่มความโค้งนูน ดูละมุนและมีมิติ
- ขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์
- ใต้ตา เติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูสดใสขึ้น
- แก้ม เพิ่มความอวบอิ่ม แก้ปัญหาแก้มตอบให้ใบหน้าดูมีสุขภาพดี
- ร่องแก้ม ลดความลึกของริ้วรอยร่องแก้ม ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย
- คาง ปรับรูปคางให้สมส่วนและรับกับใบหน้า
ตำแหน่งฉีดไขมันบนร่างกาย
นอกจากใบหน้าแล้ว การฉีดไขมันยังเป็นที่นิยมในการปรับรูปทรงของร่างกาย ช่วยเพิ่มความสมส่วนและเสริมความมั่นใจในรูปร่าง เช่น
- หน้าอก (25-400 cc) เพิ่มขนาดหน้าอกให้ดูอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้ซิลิโคน หรือสามารถเติมพร้อมกับการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน เพื่อความเป็นธรรมชาติด้วยก็ได้
- สะโพกและก้น (100-1300 cc ต่อข้าง) เติมไขมันเพื่อให้สะโพกและก้นดูเด่น มีทรวดทรงที่โค้งเว้า แก้สะโพกบุ๋มหรือ Hip Dip
- มือ (5+ cc) แก้ปัญหามือที่มีริ้วรอยหรือเส้นเลือดปูด ให้ดูอ่อนเยาว์ นิ่มนวลมากขึ้น
- ต้นขาด้านใน (25-400 cc) ใช้เซลล์ไขมันปรับความสมดุลของสัดส่วนต้นขา ช่วยแก้ปัญหาขาที่ดูเล็กเกินไป หรือต้นขาไม่เท่ากัน
- น้องสาว (25-100 cc) ช่วยให้มีความชุ่มชื้น ผิวน้องสาวแลดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี และทำให้รูปทรงดูอวบอิ่มสมส่วนยิ่งขึ้น
การเติมไขมัน เหมาะกับใคร?
การเติมไขมันไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสำหรับทุกคน เนื่องจากข้อจำกัดทางสุขภาพและไขมันในร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการทำศัลยกรรม ดังนั้น เรามาดูกันก่อนว่าผู้ที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับการเติมไขมันมีกลุ่มไหนบ้าง รวมถึงทางเลือกสำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถเติมไขมันได้ ทำศัลยกรรมลดสัดส่วนแบบไหนทดแทนได้บ้าง
กลุ่มคนที่เหมาะกับการเติมไขมัน
- ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินในร่างกายเพียงพอ เช่น ไขมันบริเวณหน้าท้องหรือต้นขาด้านใน ซึ่งสามารถนำมาใช้เติมเต็มในบริเวณที่ต้องการได้อย่างเพียงพอ
- ผู้ที่ต้องการเติมเต็มสัดส่วน เพิ่มความอวบอิ่มให้ใบหน้า หน้าอกหรือสะโพก (ขึ้นอยู่กับปัญหานั้น ๆ)
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเป็นธรรมชาติ เพราะสามารถเลือกความละเอียดของไขมันได้ (โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง LipoCube ที่ช่วยคัดกรองเซลล์ไขมันให้มีขนาดเล็กได้หลายระดับ) ผลลัพธ์จะมีความเรียบเนียนมากกว่าการฉีดสารสังเคราะห์
- ผู้ที่ไม่ต้องการใช้สารสังเคราะห์ เช่น ซิลิโคนหรือฟิลเลอร์ โดยการเติมไขมันเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในระยะยาว เพราะเป็นการใช้เซลล์ไขมันจากร่างกายของเราเอง จึงมีโอกาสแพ้น้อยมาก
- ผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง คนที่สามารถเติมไขมันได้ควรมีสุขภาพทั่วไปที่ดี ไม่มีโรคประจำตัวที่รุนแรง ร่างกายพร้อมสำหรับการผ่าตัด เพราะอาจต้องมีการวางยาสลบและการใช้ยาชา นอกจากนี้ ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะทำให้ไขมันมีโอกาสติดดีมากกว่าด้วย
กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมัน
- ผู้ที่มีไขมันในร่างกายน้อยเกินไป เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำมาก (ผอมมาก) อาจไม่มีไขมันเพียงพอสำหรับการดูดมาใช้เติมเต็มและเสี่ยงอันตรายต่อร่างกายได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจร้ายแรง, ภาวะเลือดออกผิดปกติ, มีแนวโน้มหรือกำลังเป็นโรคคลั่งผอม (Anorexia Nervosa) หรือโรคอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถควบคุมอาการได้
- ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ การสูบบุหรี่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้อัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันลดลง
- ผู้ที่ไม่สะดวกดูแลตัวเองหลังทำ แม้การเติมไขมันจะไม่ต้องการการดูแลตัวเองมากนัก แต่เรายังจำเป็นต้องดูแลตัวเองหลังการดูดไขมัน เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วและไม่เสี่ยงต่อการอักเสบหรือติดเชื้อในภายหลัง
- ผู้ที่มีแผนจะลดน้ำหนัก เนื่องจากอาจทำให้ไขมันที่เติมเข้าไปสลายตัวเร็ว หรือติดได้น้อย
ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถดูดไขมันได้
- ฟิลเลอร์ (Filler) ใช้สารเติมเต็ม เช่น กรดไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) สำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายระยะสั้น ไม่มีเวลาพักฟื้น หรือต้องการผลลัพธ์แบบทันที
- การใช้สารสังเคราะห์แทน (เช่น ซิลิโคน) สำหรับการเพิ่มขนาดหน้าอกหรือสะโพกในปริมาณมาก หากไม่มีไขมันเพียงพอที่จะเสริมให้ได้ขนาดที่ต้องการ
- การปรับโครงหน้าโดยไม่ใช้สารเติมเต็ม เช่น การใช้เทคนิคยกกระชับด้วยอัลตราซาวด์ HIFU, Ultraformer III หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่าง Morpheus8 ที่ช่วยยกกระชับและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแบบไม่ต้องผ่าตัดได้
- การดูแลผิวแบบธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น การบำรุงด้วยสกินแคร์ การเพิ่มน้ำหนักให้โครงหน้าดูเต็มขึ้น หรือการนวดกัวซาหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลือง ทำให้หน้ากระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง
การฉีดไขมัน เติมไขมัน มีขั้นตอนอะไรบ้าง?
การฉีดหรือเติมไขมัน (Fat Grafting หรือ Fat Transfer) เป็นกระบวนการที่ช่วยปรับรูปทรงหรือเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยไขมันของตัวเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย โดยมี 3 ขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การดูดเก็บไขมัน
กระบวนการเริ่มต้นจากการดูดไขมันส่วนเกินจากร่างกาย ซึ่งมักเลือกบริเวณที่มีไขมันสะสมมาก เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก เป็นต้น โดยจะมีการใช้เครื่องมือดูดไขมันแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เครื่องดูดไขมันพลังงานน้ำ (Water-Assisted Liposuction) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความร้อน ทำให้เซลล์ไขมันยังมีชีวิตอยู่และนำมาใช้งานได้อย่างมีคุณภาพ
ก่อนดูดไขมัน แพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะจุดหรือยาสลบ (ขึ้นอยู่กับพื้นที่และปริมาณไขมัน) แล้วใช้เครื่องมือดังกล่าวดูดไขมันออกมาในปริมาณที่เหมาะสม โดยให้กระทบกับเซลล์ไขมันน้อยที่สุด
ขั้นตอนที่ 2 การคัดกรองไขมัน
หลังจากดูดไขมันแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการคัดแยกไขมัน เพื่อให้ได้ไขมันที่บริสุทธิ์ที่สุดและเหมาะสำหรับการฉีดเติมเต็ม โดยขั้นตอนเบื้องต้นจะทำการแยกไขมันจากของเหลวส่วนเกิน เนื่องจากไขมันที่ดูดออกมามักจะมีของเหลว เช่น น้ำเลือดและน้ำเกลือผสมอยู่ จึงต้องใช้เครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuge) เพื่อกรองเอาเฉพาะไขมันที่บริสุทธิ์มาใช้
สำหรับการคัดกรองไขมันแบบใหม่ที่ AM International Hospital จะมีขั้นตอนเพิ่มเติมคือ ปรับปรุงคุณภาพของเซลล์ไขมัน โดยแพทย์จะทำการคัดกรองไขมันผ่านอุปกรณ์อย่าง LipoCube ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตสเต็มเซลล์ไขมัน (FatStem) ออกมามากกว่าการกรองแบบธรรมดา ทำให้อัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันเพิ่มมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 การเติมไขมัน
หลังจากได้ไขมันที่บริสุทธิ์แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการฉีดไขมันกลับไปยังบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม โดยส่วนนี้แพทย์จะทำการวางแผนจุดที่ฉีดไขมันเข้าไป จากนั้นจะบรรจุเซลล์ไขมันที่ผ่านการกรองแล้วเข้าไปในหลอดฉีด โดยไขมันจะถูกฉีดอย่างค่อยเป็นค่อยไปในชั้นผิวที่เหมาะสม เพื่อให้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ หลังจากฉีด แพทย์จะปรับไขมันให้เรียบเนียนและตรวจสอบความสมดุล
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน AM มีการนำเอาอุปกรณ์สำหรับการฉีดสารเติมเต็มโดยเฉพาะอย่าง Maft Gun เข้ามาช่วยในการปรับขนาดหยดไขมันที่ฉีดให้มีความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตำแหน่งที่ฉีดไขมันแต่ละจุดจำเป็นต้องใช้ขนาดหยดไขมันแตกต่างกัน โดยเฉพาะพื้นที่เล็ก ๆ อย่างใต้ตา จะช่วยให้มีความเรียบเนียนมากขึ้น
การเตรียมตัวฉีดไขมัน ก่อนและหลังทำ
การเตรียมตัวและการดูแลตัวเองก่อนและหลังการฉีดไขมันเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน มาดูกันว่าควรเตรียมตัวอย่างไรในแต่ละช่วง
เตรียมตัวก่อนเติมไขมัน
- ปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์และมีความชำนาญก่อนเสมอ
- ตรวจร่างกายเพื่อประเมินความพร้อม และดูว่ามีโรคประจำตัวหรือข้อห้ามใดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฉีดไขมันหรือไม่
- งดทานยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด น้ำมันปลา หรือวิตามินอี เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนทำ เพราะจะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและทำให้โอกาสที่เซลล์ไขมันจะอยู่รอดเหลือน้อย
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันทำ หากมีไข้ หวัด หรือการติดเชื้อ ควรแจ้งแพทย์ทันที เพราะจะต้องเลื่อนวันฉีดไขมันไปก่อนจึงจะปลอดภัยกว่า
- เตรียมเสื้อผ้าสวมใส่สบายและเป็นสีเข้ม เพราะอาจจะมีของเหลวซึมออกจากแผลดูดไขมัน
ดูแลตัวเองหลังเติมไขมัน
- ห้ามกดหรือนวดบริเวณที่เติมไขมันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ไขมันที่ฉีดเข้าไปปรับตัวและเกาะติดในชั้นผิวได้มากยิ่งขึ้น
- ใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมัน (Compression Garment) ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดบวมและกระชับสัดส่วน โดยปกติมักต้องใส่ติดต่อกันประมาณ 4-6 สัปดาห์
- งดกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ หรือยกของหนักอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังทำ แนะนำให้เดินเล่นเบา ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- ห้ามสัมผัสบริเวณที่ฉีดไขมันด้วยความร้อนจัดและความเย็นจัด เช่น การอาบน้ำร้อน หรือการใช้เครื่องอบซาวน่า เพราะอาจส่งผลต่ออัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มโปรตีนในมื้ออาหารเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเพิ่มอัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ติดตามผลกับแพทย์ เข้ารับการตรวจติดตามผลตามกำหนดของแพทย์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และความเรียบร้อยของการรักษา
ข้อดี-ข้อเสีย ของการฉีดไขมัน
ฉีดไขมัน เป็นวิธีการเติมเต็มหรือปรับรูปทรงด้วยไขมันจากร่างกายของเราที่ต้องผ่านทั้งการดมยาสลบ การผ่าตัด และการดูแลตัวเองในช่วงพักฟื้นหลากหลายขั้นตอน จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ ดังนี้
ข้อดีของการฉีดไขมัน
- โอกาสแพ้น้อยมาก เพราะใช้ไขมันจากร่างกายเราเอง จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการแพ้หรือทำปฏิกิริยาต่อสิ่งแปลกปลอมที่ถูกฉีดเข้าร่างกาย
- ผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปสามารถปรับความละเอียดได้ ทำให้ฉีดไขมันแล้วไม่เป็นก้อนแข็ง ดูเรียบเนียนกับผิว
- แก้ปัญหาได้หลายส่วนพร้อมกัน ทั้งดูดไขมันส่วนเกินจากจุดที่ไม่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก แล้วนำไปเติมเต็มในจุดที่ต้องการ เช่น ใบหน้า หน้าอก หรือสะโพก ทั้งหุ่นเพรียวและสมส่วนขึ้นในครั้งเดียว
- ให้ผลลัพธ์ระยะยาว เพราะไขมันที่ติดไปแล้วจะสามารถคงอยู่ได้ไปอีกนานหลายปี หากดูแลตัวเองดีก็มีโอกาสอยู่ได้นานเป็นสิบปี
- ไม่มีแผลใหญ่หรือรอยเย็บที่มองเห็นชัด เพราะการดูดไขมันและฉีดไขมันจะใช้เข็มขนาดเล็กและมีอุปกรณ์เสริมเข้ามาช่วยรองรับ ทำให้แผลไม่ขยาย เปิดแผลเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็สามารถดูดไขมัน-เติมไขมันได้
ข้อเสียของการฉีดไขมัน
- ไม่เหมาะสำหรับคนผอมมาก หากร่างกายมีไขมันน้อยเกินไป อาจไม่มีไขมันเพียงพอสำหรับการดูดและฉีดเติม
- ไขมันอาจสลายตัวบางส่วน เพราะไขมันถูกดูดซึมกลับเข้าร่างกาย ทำให้ต้องเติมซ้ำในบางกรณี แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกเติมไขมันพร้อมเซลล์ต้นกำเนิด (SVF) ซึ่งจะช่วยให้อัตราการอยู่รอดของไขมันสูงขึ้น
- มีความเสี่ยงต่อการบวมและอักเสบ หากดูแลตัวเองหลังทำตามคำแนะนำของแพทย์ได้ไม่ดี
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าในบางกรณี เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือและขั้นตอนเฉพาะในการทำ
- ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์สูงมาก หากแพทย์ไม่มีความชำนาญเพียงพอ อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สมดุล หรือเกิดความเสี่ยงจากขั้นตอนต่าง ๆ ได้
ผลข้างเคียงจากการฉีดไขมัน มีข้อไหนที่ต้องระวังบ้าง?
การฉีดไขมันเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงต่ำ หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดไขมันยังคงมีผลข้างเคียงที่ควรทราบและระมัดระวังอยู่ด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป
- อาการบวม บริเวณที่ฉีดไขมันหรือดูดไขมันอาจมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แต่จะสามารถยุบบวมได้เองเมื่อเวลาผ่านไป
- รอยช้ำหรือรอยแดง เกิดจากการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ดูดไขมัน มักจะจางหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือหากมีความกังวล สามารถเลือกทำเลเซอร์หรือทรีทเม้นต์อื่น ๆ เพื่อเร่งการสมานแผลและลดรอยแผลเป็นได้
- อาการเจ็บหรือระบม บริเวณที่ดูดไขมันและฉีดไขมันอาจมีอาการระบมเล็กน้อยในช่วงแรก แต่แพทย์จะทำการจ่ายยาพร้อมคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังทำ เพื่อบรรเทาอาการระบมหรือเจ็บปวดดังกล่าวอยู่แล้ว
- ไขมันสลายบางส่วน ไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจถูกดูดซึมกลับโดยร่างกาย 10-50% ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไปของร่างกาย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความชำนาญของแพทย์ คุณภาพของไขมันที่นำมาฉีด อุปกรณ์ที่ใช้ในขั้นตอนต่าง ๆ เป็นต้น
- ผิวไม่เรียบเนียน (ในบางกรณี) หากไขมันที่ฉีดกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ ผิวบริเวณที่ฉีดอาจดูไม่เรียบเนียนเท่าที่ควร แนะนำให้เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์หลากหลายในการฉีดไขมัน จะช่วยลดโอกาสผิวไม่เรียบเนียนได้
ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ (ต้องพบแพทย์โดยด่วน)
- อาการอักเสบหรือปวดรุนแรง หากบริเวณที่ฉีดไขมันมีอาการปวดบวมแดงมากผิดปกติ และไม่ดีขึ้นใน 1-2 วัน อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- มีไข้หรืออุณหภูมิร่างกายสูง หากมีไข้ร่วมกับอาการปวดบวม อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในร่างกาย
- มีก้อนแข็งผิดปกติ หากบริเวณที่ฉีดมีการเกิดก้อนแข็ง อาจเกิดจากการกระจายตัวของไขมัน หรือการสะสมของของเหลวใต้ชั้นผิวบริเวณที่ดูดไขมัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเพื่อทราบแนวทางแก้ไข
- ผิวมีสีคล้ำผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีในบริเวณที่ฉีดไขมัน
- ไขมันอุดตันในเส้นเลือด (Fat Embolism) อาการนี้พบได้น้อยมากแต่ร้ายแรง อาจเกิดขึ้นเมื่อไขมันเข้าสู่กระแสเลือดและอุดตันในอวัยวะสำคัญ เช่น ปอดหรือสมอง สัญญาณเตือน ได้แก่ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือหมดสติ มักเกิดขึ้นได้หากรับการฉีดไขมันกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญหรือประสบการณ์น้อย
- แผลติดเชื้อจากการดูดไขมัน หากบริเวณที่ดูดไขมันมีหนองหรือมีกลิ่น ควรรีบพบแพทย์ อาจเกิดจากกระบวนการที่ไม่สะอาดหรือปลอดเชื้อมากพอระหว่างการดูดไขมัน-เติมไขมัน
เติมไขมัน ทำพร้อมกับการศัลยกรรมอย่างอื่นได้ไหม?
การเติมไขมันสามารถทำร่วมกับการศัลยกรรมอื่น ๆ ได้ในหลายกรณี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และสุขภาพของผู้เข้ารับบริการ โดยเราสามารถเติมไขมันพร้อมกับการทำศัลยกรรมประเภทอื่น ๆ ได้ดังนี้
- เสริมหน้าอก โดยเติมไขมันร่วมกับการเสริมซิลิโคน เพื่อเพิ่มความนุ่มและความเป็นธรรมชาติของเนินอก ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แลดูเรียบเนียนเสมือนจริง ไม่เห็นขอบซิลิโคนชัดเจน สามารถเติมได้หลายซีซีตามความเหมาะสม
- ยกกระชับใบหน้า (Facelift) เติมไขมันช่วยเพิ่มความอิ่มฟูและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยพร้อมกับการยกกระชับใบหน้าไปพร้อม ๆ กัน โดยปัจจุบันจะมีทั้ง ACCUtite และ APYX One ที่ช่วยยกกระชับพร้อมดูดไขมัน-เติมไขมันได้
- ยกกระชับผิวตัว ยกตัวอย่างเช่น การยกกระชับพร้อมดูดไขมัน-เติมไขมันด้วย J Plasma ซึ่งนิยมทำกันทั้งในต่างประเทศและในไทย โดยส่วนใหญ่มักใช้ในกรณีที่ผิวเดิมของผู้เข้ารับบริการมีความหย่อนคล้อยปานกลางขึ้นไป เมื่อดูดไขมันเพื่อนำไปเติมแล้วอาจมีความย้วยอยู่
- ศัลยกรรมตา ยกตัวอย่างเช่น การทำตาสองชั้น การแก้ไขหนังตาหย่อนคล้อย หรือการเติมไขมันใต้ตาเพื่อแก้ปัญหาร่องลึกหรือความหมองคล้ำ สามารถทำควบคู่กันได้เพราะเป็นหัตถการที่เสียเลือดน้อย
- เสริมจมูก เติมไขมันบริเวณหน้าผากหรือขมับเพื่อเพิ่มความสมดุลของรูปหน้า พร้อมกับการปรับแต่งจมูกได้ ช่วยเสริมให้ใบหน้าแลดูมีมิติมากยิ่งขึ้น และเป็นการบำรุงผิวไปในตัวด้วย
ฉีดไขมัน ราคาเท่าไหร่?
โดยทั่วไปแล้ว การฉีดไขมัน ราคาจะอยู่ที่ 49,900 บาทขึ้นไป โดยจะขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือก แพทย์ผู้ทำการดูดไขมัน-เติมไขมัน ไปจนถึงกระบวนการพร้อมตัวเลือกต่าง ๆ ที่แต่ละโรงพยาบาลมีให้ ซึ่งจะมีระดับราคาที่แตกต่างกันไป แนะนำให้สอบถามกับทางโรงพยาบาลโดยตรง
ราคาฉีดไขมัน รวมค่าใช้จ่ายส่วนไหนแล้วบ้าง?
- ค่าธรรมเนียมแพทย์ผ่าตัด
- ค่าวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
- ค่าธรรมเนียมบริการของสถานพยาบาล
- ค่ายาสำหรับทานหลังทำ
- ค่าบริการห้องพักฟื้น
- ค่าอุปกรณ์ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับเติมไขมัน
- ค่าห้องพัก 1-2 คืน (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
- ค่าชุดกระชับหลังดูดไขมัน
- ค่าประกัน (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
โดยส่วนใหญ่แล้ว ค่าดูแลหลังทำหรือค่ายาที่แพทย์สั่งจ่ายอาจจะไม่รวมอยู่ในราคาดูดไขมัน และอาจจะไม่รวมกับค่าประกันด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ให้สอบถามรายละเอียดอย่างชัดเจนที่สุดก่อนตัดสินใจ
แจก! คำถามก่อนตัดสินใจฉีดไขมัน เคลียร์ข้อสงสัยให้หายกังวล
สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเติมไขมันดีไหม? หรือไม่รู้ว่าหากต้องไปเข้าปรึกษาแพทย์โดยตรง จะต้องสอบถามเรื่องอะไรบ้าง? หมอเลยเอาคำถามเบื้องต้นมาฝากกันด้วย
- เติมไขมันเจ็บหรือไม่? ระหว่างทำเจ็บมากหรือเปล่า?
- หลังเติมไขมันไปแล้ว ต้องมาเติมซ้ำอีกไหม? ต้องเติมไขมันซ้ำบ่อยแค่ไหน?
- หากมีภาวะแทรกซ้อนหลังทำจะแก้ปัญหาอย่างไร? มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไหม?
- หลังทำ หุ่นจะเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่า? เพราะต้องดูดไขมันด้วย
- การฟื้นตัวหลังทำนานแค่ไหน? จำเป็นต้องนอนที่โรงพยาบาลหรือเปล่า?
- สามารถเลือกตำแหน่งที่จะดูดไขมันออกได้ไหม? ถ้าอยากลดสัดส่วนไปด้วย
- เคยมีกรณีที่หลังเติมไขมันไป แล้วไขมันสลายไปหมดบ้างไหม? เป็นเพราะอะไร?
- หมอมีประสบการณ์เติมไขมันมากน้อยแค่ไหน มีเคสที่สามารถให้ดูเป็นตัวอย่างหรือเปล่า?
- เทคนิคที่หมอใช้ แตกต่างกับเทคนิคการเติมไขมันของหมอคนอื่น ๆ ยังไง?
- ค่าใช้จ่ายที่สรุปให้ รวมค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ แล้วหรือไม่? ต้องจ่ายส่วนไหนเพิ่มหรือเปล่า?
Q&A : คำถามอื่น ๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเติมไขมัน ฉีดไขมัน
การเติมไขมันหรือฉีดไขมันอาจทำให้หลายคนสงสัยในรายละเอียดของขั้นตอน ผลลัพธ์ หรือข้อจำกัดต่าง ๆ หมอจึงได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบเพื่อช่วยให้ทุกคนตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
เติมไขมัน อยู่ได้นานแค่ไหน?
ไขมันที่เติมไปจะมีส่วนหนึ่งที่สลายตัวและถูกร่างกายดูดซึมกลับในช่วง 3-6 เดือนแรก แต่ประมาณ 30-50% ของไขมันที่ฉีดเข้าไปจะคงเหลืออยู่ ซึ่งถ้าหากเราดูแลตัวเองดีและน้ำหนักคงที่ ไม่รีบออกกำลังกายหรือลดหุ่นเร็วเกินไป ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานเป็นหลายสิบปีเลย
เติมไขมัน ไม่ดูดไขมันได้ไหม?
การเติมไขมันต้องอาศัยไขมันของตัวเอง จึงจำเป็นต้องมีขั้นตอนการดูดไขมันจากส่วนที่มีไขมันส่วนเกิน ยกตัวอย่างเช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก ซึ่งในคนที่ไม่มีปริมาณไขมันส่วนเกินเพียงพอ ก็อาจจะไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อประเมินร่างกาย
ฉีดไขมัน พักฟื้นกี่วัน?
โดยทั่วไปคนที่ฉีดไขมันสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ภายใน 1-2 วัน แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณที่ฉีดไขมันและดูดไขมันมาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้อัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันยังคงที่
ฉีดไขมัน เจ็บไหม?
ระหว่างการทำ แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยาสลบ ทำให้เราไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ แต่ทั้งนี้ หลังทำอาจมีอาการระบมและตึงบริเวณที่ฉีดหรือดูดไขมันบ้างเล็กน้อย ซึ่งสามารถบรรเทาด้วยยาแก้ปวด ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และจะดีขึ้นได้เองใน 1-2 สัปดาห์
ฉีดไขมันแล้วหน้าพัง เป็นเพราะอะไร?
สาเหตุหลักที่ทำให้ฉีดไขมันแล้วหน้าพังมักเกิดจากการฉีดไขมันกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ หรือใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสม เช่น การฉีดไขมันไม่ถูกชั้นผิว หรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือจึงสำคัญมาก ต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี
ฉีดไขมันกี่วันแต่งหน้าได้?
หลังการฉีดไขมัน ควรรออย่างน้อย 5-7 วันเพื่อให้บริเวณที่ฉีดหายบวมและฟื้นตัวก่อนแต่งหน้านะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือระคายเคืองต่อผิว และลดโอกาสการสลายตัวของไขมันเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจากการแต่งหน้าด้วย
เติมไขมันกินไข่ได้ไหม?
สามารถกินไข่ได้ตามปกติ เพราะไข่ไม่ได้ส่งผลต่อการฉีดไขมันโดยตรง อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง ไขมันสูง โซเดียมสูง เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ไม่ถูกขัดขวางการสมานตัวของแผล
ฉีดไขมันหน้านอนตะแคงได้ไหม?
หลังการฉีดไขมัน ควรหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันการกดทับบริเวณที่ฉีดไขมัน และช่วยให้อัตราการอยู่รอดของเซลล์ไขมันคงที่มากที่สุด
เป็นคนผอมมาก ๆ สามารถเติมไขมันได้ไหม?
อย่างที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้ว่า หากเป็นคนที่ผอมมาก ๆ แพทย์อาจประเมินว่าไม่สามารถเติมไขมันได้ แต่สามารถพิจารณาใช้ทางเลือกอื่น เช่น การฉีดฟิลเลอร์แทน
ฉีดไขมันที่ปากได้ไหม?
สามารถฉีดไขมันที่ปากได้เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม แต่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง เนื่องจากบริเวณปากเป็นส่วนที่บอบบางและต้องการความละเอียดสูง
ฉีดไขมัน VS Filler ต่างกันยังไง?
ฉีดไขมัน เป็นการใช้ไขมันตัวเอง ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและมีโอกาสอยู่ถาวร แต่ต้องผ่านกระบวนการดูดไขมันก่อน ส่วน Filler เป็นการใช้สารสังเคราะห์ เช่น ไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA) มีความแม่นยำสูง และเหมาะกับคนที่ไม่มีไขมันส่วนเกิน แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน
สรุป
การฉีดไขมันหรือเติมไขมัน คือ การนำไขมันส่วนเกินจากร่างกายส่วนต่าง ๆ เช่น หน้าท้องหรือต้นขา มาเติมเข้าไปในส่วนที่ขาดหรือต้องการเติมเต็มสัดส่วน โดยตำแหน่งที่นิยมมากที่สุดคือ การเติมไขมันบริเวณใบหน้า หน้าอก และสะโพก เพื่อเพิ่มความสมส่วนให้กับทรวดทรง ไปจนถึงการบำรุงผิวแบบองค์รวม
การเติมไขมันนั้นจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงขั้นตอน กระบวนการ ไปจนถึงปัจจัยอื่น ๆ หลายข้อ เพราะถือเป็นการทำศัลยกรรมอย่างหนึ่งซึ่งต้องอาศัยการผ่าตัดโดยแพทย์ มีการใช้อุปกรณ์เข้ามาช่วยในการดูดไขมัน-เติมไขมัน พร้อมทั้งต้องมีการวางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ หากยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร อยากแก้ปัญหาหน้าตอบ สะโพกบุ๋ม หน้าอกเล็ก สามารถลองเข้ามาปรึกษาเราที่ AM International Hospital ได้เลย!
We always take care of your mobility
24/7 Emergency
Tell : 064 445 5666