การดูดไขมันพลังน้ำ (Body-jet) กำลังเป็นที่สนใจสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปร่าง ลดสัดส่วนอย่างอ่อนโยน และเห็นผลอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีนี้ที่มีจุดเด่นที่ช่วยลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อและใช้ระยะเวลาพัก ฟื้นน้อยลง แต่จริง ๆ แล้วการดูดไขมันพลังน้ำคืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เหมาะกับใคร หากเทียบกับวิธีดูดไขมันพลังน้ำและแบบที่ใช้พลังความร้อนแล้ว แบบไหนดีกว่า รวมถึงหลังทำต้องดูแลตัวเองอย่างไรให้สัดส่วนกระชับเข้าที่สวยไว บทความนี้มีคำตอบให้ครบ!
เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง
นวัตกรรมดูดไขมันพลังน้ำ คืออะไร
การดูดไขมันพลังน้ำ Water Jet Liposuction คือ นวัตกรรมการดูดไขมันด้วยพลังน้ำ โดยใช้แรงดันน้ำที่ควบคุมอย่างแม่นยำในการฉีดเข้าสู่ชั้นไขมัน น้ำจะกระจายตัวในลักษณะเป็นรูปพัด (Fan Shape) ช่วยแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่ออย่างอ่อนโยน ทำให้เซลล์ไขมันหลุดออกมาได้ง่าย โดยไม่ทำลายเส้นเลือดหรือเนื้อเยื่อสำคัญ
สำหรับการดูดไขมันพลังน้ำไม่มีการใช้พลังงานความร้อน จึงช่วยลดอาการบวมช้ำและลดระยะเวลาพักฟื้น เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาวิธีจัดการไขมันสะสม อย่างนุ่มนวล นอกจากนี้ ยังสามารถนำไขมันที่ได้ไปใช้ฉีดเติมเต็มในส่วนอื่นของร่างกายได้อีกด้วย
ข้อดี-ข้อเสียของการดูดไขมันพลังน้ำ
การดูดไขมันพลังน้ำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ ด้วยความอ่อนโยนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่วิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
ข้อดี
- ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ เส้นเลือด และเส้นประสาทรอบข้าง
- อาการบวมช้ำน้อย เจ็บน้อย และใช้ระยะเวลาฟื้นตัวที่สั้นลง
- สามารถนำไขมันที่ได้มาผ่านกระบวนการคัดแยกเซลล์ไขมัน และนำไปใช้เติมในส่วนอื่นได้ เช่น หน้าอกหรือใบหน้า เพราะเซลล์ไขมันยังมีความสมบูรณ์อยู่
- ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น ต้นแขน หน้าท้อง หรือเหนียง
- ลดความเสี่ยงกับภาวะผิวเป็นคลื่น เป็นก้อน ผิวขรุขระ (ผิวเปลือกส้ม) พังผืด
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการทำมากกว่าวิธีการใช้พลังงานความร้อน เพราะต้องใช้พลังน้ำค่อย ๆ แยกเซลล์ไขมันออก
- อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันหนา เพราะอาจต้องทำหลายครั้ง
- อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูดไขมันพร้อมยกกระชับผิว เพราะพลังน้ำเน้นความอ่อนโยนในการดูดไขมันโดยไม่สามารถกระตุ้นผิวให้หดตัว (แนะนำให้เลือกใช้เทคนิคยกกระชับผิวด้วยวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย)
- หลังทำอาจต้องอาศัยระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนประมาณ 4 – 6 สัปดาห์
- ต้องทำโดยแพทย์ที่มีทักษะและมีความชำนาญเท่านั้น เพื่อการดูแลให้เกิดความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่แม่นยำ

ก่อนทำต้องรู้ ดูดไขมัน เจ็บไหม? กว่าจะได้หุ่นสวยต้องเจ็บตัวหรือเปล่า?
การดูดไขมันถือเป็นศัลยกรรมรูปแบบหนึ่งที่ต้องมีการเปิดแผลหลายตำแหน่ง ทำให้หลายคนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว...อ่านเพิ่มเติม
หมวด ความรู้ศัลยกรรม
การดูดไขมันพลังน้ำเหมาะกับใคร
การดูดไขมันพลังน้ำเป็นเทคนิคลดไขมันส่วนเกินที่มีความกังวลได้ทุกสัดส่วนในร่างกาย มีความอ่อนโยน และเหมาะกับกลุ่มคน ดังนี้
- ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เหนียง หรือเอว
- ผู้ที่ต้องการดูดไขมันเพื่อนำไปเติมในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ใบหน้าหรือหน้าอก
- ผู้ที่กังวลเรื่องอาการบวมช้ำ ฟื้นตัวช้า หรือต้องการลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ
- ผู้ที่มีความกังวลเรื่องผิวที่เป็นคลื่นหรือไม่เรียบเนียนหลังดูดไขมัน
- ผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรงและมีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงพอสำหรับการทำหัตถการ
การดูดไขมันด้วยพลังงานความร้อน คืออะไร
การดูดไขมันพลังงานความร้อน คือ เทคนิคที่ใช้พลังงานจากเลเซอร์ คลื่นวิทยุ (RF) หรือคลื่นอัลตราซาวนด์ในการเคลียร์ไขมันก่อนดูดออก โดยพลังงานจะช่วยให้ไขมันกลายเป็นของเหลว ทำให้ดูดออกได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผิวหนังในบริเวณที่ทำมีการหดตัว จึงช่วยให้ผิวดูตึงกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมันพร้อมยกกระชับผิว
แต่ทั้งนี้ การดูดไขมันพลังงานความร้อนเป็นวิธีดูดไขมันทิ้งที่เน้นปรับสัดส่วน ไม่เหมาะกับการนำไขมันกลับมาฉีดเติม เพราะความร้อนทำให้เซลล์ไขมันตาย ซึ่งแตกต่างจากการดูดไขมันพลังน้ำที่เน้นการดูดไขมันแบบอ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อและสามารถเก็บเซลล์ไขมันไว้ใช้ฉีดเติมไขมันต่อได้
ข้อดี-ข้อเสียของการดูดไขมันพลังความร้อน
ก่อนตัดสินใจเลือกการดูดไขมันด้วยพลังงานความร้อน แนะนำให้ศึกษาข้อมูลทั้งในด้านข้อดี ข้อจำกัด และความเหมาะสม เพื่อผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์กับความต้องการ
ข้อดี
- ช่วยเคลียร์ไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ในจุดที่ไขมันจับตัวกันแน่น
- กระตุ้นการหดตัวของผิว ฟื้นฟูเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวกระชับหลังดูดไขมัน
- ลดโอกาสเกิดผิวเป็นคลื่นหรือไม่เรียบเนียนหลังดูดไขมัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เรื่องความกระชับควบคู่ไปกับการลดไขมัน
- เห็นผลชัดในบริเวณที่มีผิวหย่อนคล้อยร่วมด้วย เช่น หน้าท้องหลังคลอด หรือต้นแขน
- หลังดูดไขมันเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้รวดเร็ว
ข้อเสีย
- ความร้อนอาจทำให้เนื้อเยื่อรอบข้างได้รับผลกระทบ มีโอกาสเกิดอาการบวมช้ำหรือแผลไหม้ใต้ผิวหนัง หากทำโดยแพทย์ที่ขาดทักษะและความชำนาญ
- ไม่สามารถนำไขมันที่ดูดออกมาไปเติมในส่วนอื่นของร่างกายได้ เพราะเซลล์ไขมันถูกทำลายด้วยพลังงานความร้อน
- ใช้พลังงานความร้อนจึงต้องอาศัยเครื่องมือเฉพาะและการดูแลหลังทำอย่างใกล้ชิด
- อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือผิวบางบริเวณที่ไวต่อความร้อนและใกล้กับเส้นประสาท เช่น บริเวณใบหน้า
การดูดไขมันพลังความร้อนเหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยเน้นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
- ผู้ที่มีชั้นไขมันหนา มีไขมันหนาแน่น เช่น หน้าท้อง หน้าท้องส่วนล่าง หลัง และต้นขา
- ผู้ที่มีไขมันสะสมร่วมกับปัญหาผิวหย่อนคล้อย
- ผู้ที่ต้องการลดสัดส่วน ลดไขมันส่วนเกิน และกระชับผิว
- ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ไขมันที่ดูดออกมาไปเติมในส่วนอื่นของร่างกาย
- ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมแข็งแรและไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการใช้พลังงานความร้อน
ปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณาก่อนเลือกรูปแบบการดูดไขมัน
“ระหว่างดูดไขมันพลังน้ำหรือดูดไขมันพลังงานความร้อน เลือกแบบไหนดีกว่า” การเลือกเทคนิคการดูดไขมันจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคล เพราะลักษณะร่างกาย ปริมาณไขมัน สภาพผิว งบประมาณ และเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์กับความต้องการ
- ปริมาณและตำแหน่งของไขมัน หากมีไขมันปริมาณไม่มากอยู่เฉพาะจุด กังวลเรื่องอาการบวมช้ำ การดูดไขมันพลังน้ำอาจตอบโจทย์ แต่หากมีชั้นไขมันหนาหรือร่วมกับมีผิวหย่อนคล้อย การเลือกแบบพลังงานความร้อนอาจให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า
- สภาพผิวบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน หากผิวมีความหย่อนคล้อยหรือไม่กระชับ ควรเลือกเทคนิคที่มีคุณสมบัติกระชับผิวร่วมด้วย
- ความต้องการนำไขมันไปเติมในส่วนอื่น หากต้องการใช้ไขมันเติมเต็มในบริเวณอื่น ๆ เช่น เติมไขมันหน้า เติมไขมันหน้าอก การดูดไขมันพลังน้ำจะเหมาะกว่าเพราะเซลล์ไขมันยังสมบูรณ์
- ระยะเวลาพักฟื้นที่สามารถรับได้ การดูดไขมันพลังน้ำมักจะใช้ระยะเวลาพักฟื้นสั้นกว่าดูดไขมันพลังงานความร้อน มีอาการบวมช้ำน้อย จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาพักฟื้นจำกัด
- งบประมาณ เทคนิคที่ใช้พลังงานเฉพาะ เช่น เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ทั้งนี้ ยังต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่ายา ค่าชุดยกกระชับ ซึ่งแต่ละสถานพยาบาลอาจมีราคาแตกต่างกัน
- คำแนะนำจากแพทย์ การตรวจประเมินโดยแพทย์จะช่วยเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพร่างกายและความต้องการของผู้เข้ารับบริการแต่ละบุคคล

การดูดไขมันอันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้างที่ต้องระวัง
หลายคนที่อยากดูดไขมันเป็นครั้งแรกย่อมมีความกังวลว่า “ดูดไขมันอันตรายไหม” รวมถึงอาจเคยได้พบหรือ....อ่านเพิ่มเติม
หมวด ความรู้ศัลยกรรม
วิธีการดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีหลังดูดไขมัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายมีการฟื้นตัวได้เร็ว ลดอาการบวมช้ำ และได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อความเรียบเนียนและกระชับของผิวในระยะยาวอีกด้วย
- ใส่ชุดกระชับตลอด 24 ชั่วโมง (ยกเว้นเวลาอาบน้ำ) ในช่วง 2 – 4 สัปดาห์แรก ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ผิวกระชับและลดบวม
- หลีกเลี่ยงการออกแรงหรือออกกำลังกายหนักในช่วง 2–4 สัปดาห์แรก
- ขยับร่างกายด้วยการเดินช้า ๆ หรือเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลือง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยขับของเสียและลดการบวมน้ำ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของมัน เค็ม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีและดูแลไม่ให้แผลโดนน้ำในช่วงแรก
- เข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามอาการและผลลัพธ์
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บมาก บวมแดง หรือมีไข้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป
การดูดไขมันพลังน้ำเป็นเทคนิคที่โดดเด่นในด้านความอ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อ หลังทำบวมช้ำน้อย และยังสามารถรักษาสภาพเซลล์ไขมันเพื่อนำไปฉีดเติมเต็มในจุดอื่นของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นฉีดเติมไขมันหน้า เติมไขมันหน้าอก ขณะที่การดูดไขมันด้วยพลังงานความร้อนเหมาะกับผู้ที่มีชั้นไขมันหนาและอาจต้องการกระชับผิวควบคู่ไปด้วย ซึ่งทั้งสองเทคนิคมีจุดเด่นต่างกัน การเลือกใช้จึงควรพิจารณาจากลักษณะผิว ปริมาณไขมัน และความต้องการ เพื่อผลลัพธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสม โดยแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนอย่างเหมาะสมก่อนตัดสินใจทำ
Post Info
Social Media




