loader image

เสริมหน้าอกมีกี่แบบ? สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรม

หน้าอกเล็ก อกห่าง หรือหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่ทำให้สาว ๆ หลายคนขาดความมั่นใจในเรื่องการแต่งตัวหรือการใช้ชีวิต แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการเสริมหน้าอกซึ่งมีหลายวิธีให้เลือก แล้วแบบไหนจะเหมาะกับเรามากที่สุด? วันนี้ AM Hospital ขนข้อมูลดี ๆ มาให้แล้ว กับการเสริมหน้าอกที่ปลอดภัย แผลเล็ก และดูเป็นธรรมชาติในบทความ ‘เสริมหน้าอกมีกี่แบบ? สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรม’

เลือกอ่านตามหัวข้อได้ที่นี่

การเสริมหน้าอก มีทั้งหมดกี่แบบ?

การเสริมหน้าอกมีหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน โดยหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น 3 เทคนิค ได้แก่ การเสริมด้วยซิลิโคน, การใช้ไขมันตัวเอง และการเสริมหน้าอกแบบ Hybrid ซึ่งรวมทั้งซิลิโคนและไขมันเข้าด้วยกัน มาดูกันว่าทั้ง 3 แบบนี้มีความแตกต่างและข้อดีอย่างไรบ้าง

1. เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน (Breast Implant)

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะให้ผลลัพธ์ที่ดูสวยงาม แลดูเป็นธรรมชาติ และสามารถเลือกขนาดหน้าอกได้ตามต้องการ ซิลิโคนที่โรงพยาบาลเอเอ็มอินเตอร์เนชั่นแนลใช้ ได้แก่ Mentor และ Motiva ซึ่งเป็นซิลิโคนที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา มีคุณสมบัติที่ให้สัมผัสใกล้เคียงกับหน้าอกจริง ซิลิโคนแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้

  • รุ่น Mentor Smooth Round ซิลิโคนทรงกลม ช่วยเติมเต็มหน้าอกให้รูปทรงสวยและเห็นเนินอกชัดขึ้น ให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ มีหลายไซซ์ให้เลือก
  • รุ่น Mentor Memory Gel Xtra ซิลิโคนทรงหยดน้ำ เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย จะช่วยให้มีเนินอกและอวบอิ่มมากขึ้น ผิวไม่เป็นคลื่น ให้สัมผัสที่เป็นธรรมชาติ และนิ่มกว่าทรงกลม
  • รุ่น Motiva Silk Surface Plus ซิลิโคนทรงกลม เน้นอกพุ่ง เห็นเนินชัด อกนิ่มกว่า Mentor มาพร้อม Progressive Gel Plus เป็นเจลที่เหนียวแน่น ลดปัญหาการแตกรั่วของซิลิโคน เหมาะกับคนที่เนื้อหน้าอกหายหลังคลอดลูกหรือต้องการอกแน่นทรงชัดแบบสายฝอ
  • รุ่น Motiva Ergonomix ซิลิโคนทรงหยดน้ำ รุ่นนี้มีความเป็นธรรมชาติสูง สัมผัสเหมือนของจริง และเคลื่อนไหวไปตามสรีระร่างกาย ไม่เป็นก้อนแข็ง และยังมีชิปเก็บข้อมูลการรักษา (ผ่านการตรวจสอบว่าใส่ในร่างกายคนได้ ไม่อันตราย)

รูปทรงของซิลิโคนมีกี่แบบ?

รูปทรงของซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ ทรงกลม และ ทรงหยดน้ำ ซึ่งมีข้อแตกต่างกัน ทั้งนี้การเลือกทรงซิลิโคนขึ้นอยู่กับลักษณะของร่างกายและผลลัพธ์ที่ต้องการ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้เลือกทรงซิลิโคนได้เหมาะสมกับสัดส่วน

  • ซิลิโคนทรงกลม (Round Shape) เป็นซิลิโคนฐานกว้าง ทำให้หน้าอกดูอวบอิ่มทั้งเนินอกและตัวเต้านม และเลือกได้ว่าจะให้ทรวงอกพุ่งมากหรือน้อย เมื่ออยู่ในท่ายืน ลักษณะอกจะดูคล้ายทรงหยดน้ำเป็นธรรมชาติเนื่องจากแรงโน้มท่วง และจะโค้งมนมากขึ้นเมื่อนอนราบ
  • ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Anatomical Shape) ทรงหยดน้ำมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับหน้าอกตามธรรมชาติมากที่สุด คือมีส่วนฐานหน้าอกที่เต็มกว่าและส่วนเนินอกที่เรียวลง ดูหย่อนคล้อยเล็กน้อย แต่ไม่หย่อนยาน

ผิวสัมผัสของซิลิโคนมีแบบไหน เป็นอย่างไรบ้าง?

นอกจากรูปทรงแล้ว ผิวสัมผัสของซิลิโคนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพิจารณาเสริมหน้าอก เนื่องจากผิวสัมผัสที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อความรู้สึกหลังการเสริม ความยืดหยุ่น และการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อในร่างกาย ซึ่งผิวสัมผัสของซิลิโคนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. ผิวเรียบ (Smooth) ซิลิโคนประเภทนี้มีผิวสัมผัสที่เรียบ ลื่น และใสจนสามารถมองเห็นเจลภายในได้ชัดเจน ข้อดีคือใส่เข้าเต้านมได้ง่าย แต่ผู้ที่ใช้ซิลิโคนผิวเรียบจะต้องคอยนวดหน้าอกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดพังผืดและความรู้สึกเจ็บตึง
  2. ผิวทราย (Textured) ซิลิโคนชนิดนี้จะมีผิวสัมผัสที่หยาบเล็กน้อย และมีสีขุ่น ผิวทรายช่วยลดโอกาสในการเกิดพังผืดและลดการเคลื่อนตัวของซิลิโคน เนื่องจากผิวสัมผัสสามารถยึดเกาะกับเนื้อเยื่อได้ดี
  3. ผิวกำมะหยี่ (Nano texture) หรือเรียกอีกอย่างว่าผิวนาโน ไม่เรียบเท่าผิวเรียบ แต่ก็ไม่หยาบเหมือนผิวทราย ซิลิโคนผิวกำมะหยี่สามารถใส่เข้าเต้านมได้ง่าย มีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อดีเยี่ยม ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดพังผืด และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งซิลิโคนยี่ห้อ Motiva มักเป็นผิวประเภทนี้

เทคนิคการวางตำแหน่งซิลิโคน

เทคนิคการวางซิลิโคนเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะตำแหน่งที่ใส่ส่งผลต่อความเป็นธรรมชาติของหน้าอก รวมถึงลดปัญหาต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนที่หรือเกิดริ้วรอย จึงควรเลือกเทคนิคที่เหมาะกับปัญหาของเรา โดยเทคนิคการเสริมซิลิโคนมีด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่

  • เหนือกล้ามเนื้อ เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกระดับหนึ่ง มากพอที่จะกั้นไม่ให้ซิลิโคนโดนผิวหนังหน้าอก วิธีนี้จะเจ็บน้อย แต่เกิดพังผืดและริ้วรอยได้ง่าย รวมทั้งหน้าอกหย่อนคล้อยง่า และถ้าเสริมหน้าอกขนาดใหญ่จะทำให้ปวดหลังมากกว่าเทคนิคอื่น
  • ใต้กล้ามเนื้อ เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกหรือไขมันน้อย การเสริมใต้กล้ามเนื้อทำให้หน้าอกเป็นทรงสวย ดูธรรมชาติ ลดโอกาสเกิดพังผืด ซิลิโคนไม่เคลื่อนที่ และเมื่อเวลาขยับแขนก็เหมือนช่วยนวดหน้าอกไปในตัว แต่เทคนิคนี้จะเจ็บมากและนานกว่าการเสริมเหนือกล้ามเนื้อ
  • กึ่งใต้กล้ามเนื้อ (Dual Plane) เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อยถึงปานกลาง เป็นการเสริมอกส่วนบนแบบใต้กล้ามเนื้อ ส่วนอกล่างเสริมเหนือกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่เกิดขอบซิลิโคน ลดการเกิดพังผืด อกไม่แข็ง สังเกตเห็นขอบซิลิโคนได้ยาก ยึดเกาะดีกว่าแบบอื่น และผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าอกเป็นทรงคล้อยเล็กน้อย ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

2. เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง

การฉีดไขมันหน้าอก (Breast Fat Grafting) คือการเสริมหน้าอกโดยการนำไขมันจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น หน้าท้อง, ต้นขา หรือสะโพก แล้วนำมาผ่านกระบวนการถ่ายโอนเซลล์ไปยังหน้าอก และเนื่องจากเดิมที หน้าอกของผู้หญิงก็ประกอบไปด้วยไขมันอยู่แล้ว ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะผสานตัวกันกลายเป็นเนื้อเยื่อส่วนหนึ่งของหน้าอกไปจริง ๆ การฉีดไขมันหน้าอกจึงช่วยทั้งกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน และนำไขมันกลับมาเสริมหน้าอกได้

ฉีดไขมันหน้าอกเหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่หน้าอกเล็กถึงปานกลาง
  • ผู้ที่ไม่ต้องการให้สิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย
  • ผู้ที่ต้องการให้หน้าอกมีความเป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่หน้าอกไม่เท่ากัน
  • ผู้ที่ไม่มีเนินหน้าอก
  • ผู้ที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนแล้วอยากให้ดูธรรมชาติมากขึ้น

3. เสริมหน้าอกแบบ Hybrid (ซิลิโคนและเติมไขมัน)

การใส่ซิลิโคนและฉีดไขมันหน้าอก เป็นวิธีที่ช่วยให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นตามความต้องการ แต่ยังดูเป็นธรรมชาติ เพราะการใช้ซิลิโคนจะช่วยเพิ่มขนาดและโครงสร้างให้ชัดเจน ส่วนการเติมไขมันจะช่วยปรับรูปทรงหน้าอกให้ดูละมุนและนุ่มนวลขึ้น ลดการเห็นขอบหรือรอยของซิลิโคน ทำให้หน้าอกชิดและเข้ารูปสวย นอกจากนี้ การเติมไขมันยังช่วยให้หน้าอกมีสัมผัสที่คล้ายกับหน้าอกจริงมากขึ้น

การเสริมหน้าอกแบบ Hybrid แพทย์จะใส่ซิลิโคนด้วยเทคนิคกึ่งใต้กล้ามเนื้อ (Dual Plane) ก่อนเพื่อเพิ่มขนาด จากนั้นจึงเติมไขมันในขั้นตอนต่อมา เพื่อปรับให้ผิวสัมผัสให้นิ่มเหมือนหน้าอกจริง

เสริมหน้าอกแบบ Hybrid เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่ต้องการให้หน้าอกใหญ่ขึ้น (ใหญ่ขึ้นได้หลายคัพ) แต่ยังมีความเป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่เคยเสริมหน้าอกแล้วเห็นขอบซิลิโคน
  • ผู้ที่มีปัญหาหน้าอกห่าง
  • ผู้ที่หน้าอกสองข้างไม่เท่ากัน
  • ผู้ที่เนื้อหน้าอกน้อย
  • ผู้ที่ต้องการมีเนินอก
  • ผู้ที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกิน

การเสริมหน้าอกแบบ Hybrid ทำให้ไม่จำเป็นต้องเลือกซิลิโคนไซซ์ใหญ่เกินไป เนื่องจากจะมีไขมันเข้ามาช่วย การใส่ซิลิโคนซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมเล็กลงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ ผ่อนคลายขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้แพทย์แก้ไขความไม่สมดุลของขนาดหน้าอกได้ผ่านการถ่ายโอนไขมันไปยังจุดต่าง ๆ ได้ดีขึ้นด้วย แต่ข้อเสียคือจะเจ็บทั้งบริเวณที่ดูดไขมันและบริเวณหน้าอกพร้อมกัน แต่ยังอยู่ในระดับที่ทนไหว

แผลหลังทำนมเป็นอย่างไร?

แผลหลังเสริมหน้าอกจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าทำเทคนิคอะไร หากเสริมหน้าอกแบบใส่ซิลิโคนจะมีขนาดแผลจะอยู่ที่ 2 – 3 เซนติเมตร โดยสามารถเปิดแผลเพื่อใส่ถุงเต้านมได้ 3 จุด ได้แก่

  1. ใต้รักแร้ ข้อดีคือไม่มีแผลที่หน้าอก แต่จะไม่สามารถปรับโครงสร้างเดิมของหน้าอกได้
  2. ใต้ราวนม ช่วยปรับโครงสร้างหน้าอกได้ และช่วยให้ใส่ซิลิโคนแม่นยำมากขึ้น แม้มีแผลใต้ราวนมแต่ปกปิดได้ เพราะตามปกติของเต้านมจะคล้อยลงเล็กน้อยจึงช่วยปิดแผลนั่นเอง
  3. รอบปานนม สังเกตแผลได้ยากเพราะสีจะกลืนไปกับหัวนม

       
ส่วนแผลจากการฉีดไขมันจะมีขนาด 1 – 2 มิลลิเมตรเท่านั้น (มีแผลตรงจุดที่ดูดไขมันด้วย เช่น ต้นขา, สะโพก หรือหน้าท้อง ซึ่งแผลดูดไขมันจะมีขนาดไม่เกิน 3-5 มิลลิเมตร) ซึ่งสามารถรักษาแผลให้หายในภายหลังได้ โดยทั่วไปมักจะต้องรวมอยู่ในบริการดูแลหลังทำ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานที่ให้บริการ

ขั้นตอนการเสริมหน้าอก มีอะไรบ้าง?

เมื่อพูดถึงการศัลยกรรมเสริมหน้าอก หลายคนอาจจะรู้สึกว่าฟังดูซับซ้อนและน่ากังวล แต่ความจริงแล้วขั้นตอนการเสริมหน้าอกไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด โดยกระบวนการเสริมหน้าอกนั้นมีด้วยกัน 6 ขั้นตอน ดังนี้

  1. ปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินรูปร่างและความต้องการของคนไข้
  2. ดมยาสลบ ทำโดยวิสัญญีแพทย์ 
  3. เข้าผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic Surgery) เฉพาะทาง
  4. พักฟื้น ในห้องพักฟื้นระดับ VVIP และมีพยาบาลดูแลตลอดการพักฟื้น
  5. ทำ After Care เช่น รับเซ็ตยา, ตัดไหม, ฉายแสงลดบวม, เลเซอร์, ฉีดป้องกันแผล Keloid เป็นต้น
  6. นัดตรวจซ้ำ ติดตามผลการรักษา

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเสริมหน้าอก

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือหัตถการทางการแพทย์ใด ๆ ย่อมต้องเตรียมตัวก่อนให้พร้อมเสมอ สำหรับการเสริมหน้าอกก็เช่นกัน สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อให้การรักษาผ่านไปอย่างราบรื่น มีดังนี้

  1. นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  2. งดทานอาหารและน้ำก่อนผ่าตัด 8 ชั่วโมง (เพื่อป้องกันการสำลักขณะดมยาสลบ)
  3. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์
  4. ตัดเล็บให้สั้นและล้างสีเล็บออก (เพื่อให้สังเกตได้ว่าร่างกายขาดออกซิเจนหรือไม่)
  5. ถอดฟันปลอม ถ้ามีฟันโยกต้องแจ้งแพทย์ก่อน
  6. ต้องมีเพื่อนหรือญาติ 1 คน เพื่อพากลับบ้าน

วิธีดูแลตัวเองหลังทำนม

แม้ทำนมเสร็จเรียบร้อย แต่กระบวนการยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้น เพราะยังต้องดูแลตัวเองต่อเพื่อให้ผลลัพธ์ที่จะออกมาตอนท้ายทั้งสวย ดูดี และตรงตามที่ต้องการ ซึ่งการดูแลตัวเองหลังทำนมมีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

  1. ทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  2. งดยกของหรือออกกำลังกายหนัก 3 – 4 สัปดาห์
  3. บางกรณีควรนวดหน้าอกเพื่อลดพังผืด
  4. งดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ 2 สัปดาห์
  5. หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง กึ่งสุกกึ่งดิบ หรืออาหารที่ไม่สะอาด
  6. แนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนสูง (ถ้านอนคว่ำซิลิโคนอาจผิดรูป)
  7. เข้ารับบริการ After Care
  8. งดใส่เสื้อชั้นในที่มีโครง แต่ใส่ซัปพอร์ตบรา (Support Bra) แทนในช่วง 4 สัปดาห์แรก

เสริมหน้าอกพักฟื้นกี่วัน?

เสริมหน้าอกพักฟื้นกี่วัน ระยะเวลาที่ร่างกายจะฟื้นตัวจนหายเป็นปกติขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เพราะการเสริมหน้าอกในผู้หญิงแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งขนาดเต้านมที่เสริม, ประเภทของซิลิโคน, ตำแหน่งที่ใส่ รวมถึงเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์แต่ละท่าน ทำให้ระบุวันอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่เราสามารถคำนวณคร่าว ๆ ได้

โดยเฉลี่ยแล้วเสริมหน้าอกพักฟื้นประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ก็จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่จริง ๆ แล้วพักฟื้นเพียง 2 – 3 วันก็สามารถกลับไปทำงานได้แล้ว เพียงแต่ต้องเลี่ยงงานหนัก และควรปฏิบัติตามวิธีดูแลตัวเองหลังทำนมที่แพทย์แนะนำจึงจะหายได้เร็ว หากไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องอาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บ แผลฉีกขาด หรือมีอาการแทรกซ้อนได้

เสริมหน้าอกกี่เดือนเข้าที่

เสริมหน้าอกกี่เดือนเข้าที่? โดยทั่วไปมักจะเริ่มรู้สึกพอใจกับหน้าอกของตัวเองหลังเสริมไปประมาณ 4 สัปดาห์ แต่ถ้าต้องการให้หน้าอกเข้าที่และดูเป็นธรรมชาติเต็มที่จะใช้เวลา 3 – 6 เดือน ทั้งนี้ ควรดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง เช่น การนวดเพื่อให้หน้าอกนิ่มและหลีกเลี่ยงการกระแทกบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรง

ในช่วงก่อนที่หน้าอกจะเข้าที่ อาจมีข้างใดข้างหนึ่งบวมหรือเข้าที่เร็วกว่า แต่อย่าเพิ่งกังวล เพราะไม่นานอีกข้างจะฟื้นตัวตามมาและทำให้หน้าอกดูสวยเสมอกัน สิ่งสำคัญคือการรอเวลาเพื่อดูผลลัพธ์ที่ชัดเจนในระยะยาว ซึ่งหน้าอกไม่เท่ากันช่วงแรกสามารถพบได้ทั่วไป แต่หากมีความกังวลจริง ๆ ก็สามารถเข้าปรึกษาแพทย์ได้

อาการข้างเคียงหลังทำนม

หลังทำนมมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการผ่าตัด การศึกษาและทำความเข้าใจถึงอาการข้างเคียงเหล่านี้จะช่วยให้สามารถรับมือและดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อรู้สึกว่าอาการข้างเคียงเหล่านี้รุนแรงเกินไป เช่น

  • รู้สึกปวดเล็กน้อย ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  • อาการตึง เนื่องจากผิวหนังขยายออก
  • รู้สึกชา เนื่องจากเส้นประสาทในเนื้อเยื่อเต้านมได้รับผลกระทบชั่วคราว
  • หน้าอกบวมข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากร่างกายตอบสนองต่อการผ่าตัดต่างกัน แต่จะฟื้นตัวและหน้าอกจะกลับมาเท่ากัน
  • รอยช้ำ บริเวณเต้านมและรอบหน้าอก หรือแถวซี่โครง
  • มีเลือดหรือของเหลวไหลซึมออกจากแผล
  • ท้องผูก เพราะยาแก้ปวดกระทบการทำงานของระบบย่อยอาหารให้ช้าลง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ เสริมหน้าอก

เมื่อพูดถึงการเสริมหน้าอก หลายคนมักมีคำถามและข้อสงสัยที่ต้องการคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสริมหน้าอกราคาเท่าไหร่? เสริมหน้าอกที่ไหนดี? หรือข้อกังวลอื่น ๆ ทาง AM International Hospital จึงรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเสริมหน้าอก พร้อมคำตอบที่ช่วยคลายข้อสงสัย เพื่อให้คุณเตรียมตัวอย่างมั่นใจก่อนเข้ารับการผ่าตัด

1. เสริมหน้าอก ราคาเท่าไหร่?

ราคาเสริมหน้าอกมักจะเริ่มต้นที่ 60,000 บาทขึ้นไป โดยจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางสถานที่ให้บริการนั้น ๆ และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความซับซ้อนของแต่ละเคส ไปจนถึงวิธีที่ใช้ในการเสริมหน้าอกด้วย (เช็กโปรโมชั่นเพิ่มเติม)

มีโอกาส โดยเฉพาะผู้ที่เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ เพราะทำให้หน้าอกรับน้ำหนักเต็ม ๆ หรือการเสริมหน้าอกที่ใหญ่เกินไปก็เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ทำนมแล้วจะมีอาการปวดหลังเสมอไป เพราะมีหลากหลายสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

ซิลิโคนปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ถูกออกแบบมาให้หนา ทนทาน และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ หากซิลิโคนแตก อาจเป็นเพราะมีการนำซิลิโคนเก่า ไม่ได้มาตรฐาน ใช้ซิลิโคนปลอม หรือเลือกเทคนิคการผ่าตัดไม่เหมาะสมทำให้เสี่ยงซิลิโคนแตกได้

อาจทำให้หน้าอกผิดรูปและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ กรณีที่ซิลิโคนรั่วเพียงเล็กน้อยอาจไม่มีผลมากนัก แต่หากตัวเจลไหลออกมาอยู่นอกซิลิโคนก็อาจทำให้เกิดพังผืดหรือซิลิโคนไหล ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาหน้าอกผิดรูป ต่อมน้ำเหลืองโต หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคตได้

เมื่อซิลิโคนแตกจะรู้สึกได้ว่าหน้าอกตึงน้อยลง ไม่แน่นเหมือนเดิม เมื่อเปรียบเทียบสองข้างจะรู้สึกว่าอกอีกข้างนิ่มและเหลวกว่าอีกข้าง

ไม่จำเป็น เพราะซิลิโคนที่ผ่านการทดสอบว่าเหมาะต่อการใช้ทางการแพทย์ (Medical Grade Silicone) จะอยู่ได้ยาวนานหลายสิบปี เว้นแต่เกิดอุบัติเหตุจนซิลิโคนแตก หรือเกิดพังผืดจนต้องแก้ไขใหม่ หรือต้องการเปลี่ยนไซซ์ให้เล็กลงหรือใหญ่ขึ้นจึงจะถึงเวลาเปลี่ยนซิลิโคน แต่ทั้งนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

หลังทำนมให้นมลูกได้ เพราะการเสริมเต้านมไม่ได้รบกวนระบบเนื้อเต้านมและท่อน้ำนม

เสริมหน้าอกที่ไหนดี? การทำนมต้องคำถึงหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความชำนาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ที่ทำการผ่าตัด เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ใช้ มาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงการดูแลหลังการผ่าตัด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ เสริมหน้าอก

สรุป

การเสริมหน้าอกสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใส่ซิลิโคนหรือฉีดไขมันหน้าอก ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การทำนมควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ด้วยตัวเอง เนื่องจากปัญหาของผู้หญิงแตกต่างกัน สรีระและความต้องการก็ไม่เหมือนกัน ทางที่ดีควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้สามารถหาวิธีแก้ไขรูปทรงหน้าอกที่เหมาะสมและตอบโจทย์ตัวเรา

แชร์ :