loader image

Fasting คืออะไร? อดอาหารลดหุ่นได้จริงไหม Fasting มีกี่แบบ?

Fasting คืออะไร

         มีงานด่วนอีกไม่กี่เดือน ต้องรีบลดน้ำหนักแบบด่วน ๆ อดอาหาร หรือ Fasting ช่วยได้ไหม? บอกเลยว่าได้! แต่คำถามคือเราเข้าใจการทำ Fasting ดีแค่ไหน อดอาหารแบบด้วยวิธีใดจึงปลอดภัยกับตัวเอง ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการอดอาหาร หรือ Fasting คืออะไร ทำแบบไหนและทำได้กี่วิธี ไปดูกัน!

เลือกอ่านตามหัวข้อได้ที่นี่

Fasting คืออะไร?

        Fasting คือ การตั้งใจงดรับประทานอาหารในช่วงเวลาที่กำหนด โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมสุขภาพหรือควบคุมน้ำหนัก หลักการของ Fasting คือ ในช่วงที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานจากอาหาร จะเกิดการดึงพลังงานจากไขมันสะสมมาใช้แทน ส่งผลให้ไขมันในร่างกายลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนโดยไม่ต้องพึ่งการรักษาทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือการดูดไขมัน

        ในเชิงประวัติศาสตร์ การอดอาหาร (Fasting) มีรากฐานมาจากวัตถุประสงค์ทางศาสนาและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติกันในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกมานานนับพันปี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน Fasting ได้รับความนิยมในแง่ของการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยมีการศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าการ Fasting อย่างเหมาะสมส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญ ลดการอักเสบ และอาจช่วยยืดอายุขัยได้อีกด้วย

Fasting มีกี่แบบ?

        Fasting คือการลดน้ำหนักแบบรวดเร็วก็จริง แต่ก็ถือเป็นการรบกวนการกินอาหารตามที่ร่างกายเราคุ้นชินกันมาตลอดชีวิต จึงเกิดเป็นวิธี Fasting ในรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้ากับสุขภาพร่างกายพื้นฐานและวิถีชีวิตของแต่ละคนดังนี้

การอดอาหารเป็นช่วง (Intermittent Fasting – IF)

        การอดอาหารเป็นช่วง ๆ หรือ Intermittent Fasting คือการสลับการทาน-อดอาหารตามตาราง เช่น อด 16 ชั่วโมงแล้วกินภายใน 8 ชั่วโมง (IF 16:8) ซึ่งเป็นวิธี Fasting ที่ปรับได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ทำให้การทำ IF เป็นที่นิยมมากในหลายช่วงวัย ช่วยให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงาน ช่วยลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นต้น

อดอาหารแบบวันเว้นวัน (Alternate Day Fasting – ADF)

        Alternate Day Fasting คือการอดอาหารแบบวันเว้นวัน โดยวันที่อดอาจจะไม่ทานอะไรเลยหรือดื่มแค่น้ำ ชา กาแฟแบบไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล หรืออีกแบบคือในวันที่อดจะทานอาหารเพียง 30% ของปริมาณแคลอรีปกติที่ร่างกายต้องการ แล้ววันต่อมาก็ทานอาหารได้ตามปกติ สำหรับคนที่ชินแล้วก็เป็นวิธี Fasting แบบที่ทำได้สบาย ๆ ทั้งช่วยลดน้ำหนักและช่วยเรื่องสุขภาพหัวใจด้วย

การอดแบบจำกัดประเภทอาหาร (Partial Fasting)

        Partial Fasting คือการตัดอาหารหรือเครื่องดื่มบางประเภทออกจากมื้อปกติ เช่น ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ อาหารแปรรูป หรือน้ำตาล และอื่น ๆ ที่ไม่มีประโยชน์กับร่างกายออกไป มีต้นกำเนิดมาจากประวัติศาสตร์การอดอาหารในคัมภีร์ไบเบิล เป็นอีกวิธีที่คนส่วนใหญ่ทำได้และฝึกพฤติกรรมการเลือกทานอาหารที่ดี แถมช่วยลดน้ำหนักแบบไม่ทรมานร่างกายจนเกินไปด้วย โดยการ Fasting แบบจำกัดประเภทอาหาร มักจะคล้ายกับการไดเอทแบบต่าง ๆ เช่น Low Carb Diet, การกินคีโต เป็นต้น

อดอาหารตามนาฬิกาชีวิต (Circadian Fasting)

        การอดอาหารตามนาฬิกาชีวิตหรือ Circadian Fasting คือ เน้นการกินให้สอดคล้องกับนาฬิกาชีวภาพ เช่น หยุดกิน 2-3 ชั่วโมงก่อนนอนและอดไปถึงช่วงสาย ๆ โดยจะเป็นการทานอาหารในช่วงกลางวันที่ร่างกายต้องทำงาน และอดอาหารในตอนกลางคืนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน มีประโยชน์หลัก ๆ คือช่วยปรับระบบร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ

อดอาหารแบบจำกัดเวลา (Time-Restricted Eating – TRE)

        การอดอาหารแบบจำกัดเวลา (TRE) คือ การกินเฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ทานอาหารภายใน 8-12 ชั่วโมง แล้วอดอาหารในช่วงที่เหลือ มักจะปรับให้เข้ากับนาฬิกาชีวิต คือกินตอนกลางวันและอดตอนกลางคืน เป็นวิธีที่เหมาะกับมือใหม่ เพราะไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมมากนัก เป็นการผสมผสานระหว่างการอดอาหารแบบ IF และ Circadian Fasting ซึ่งช่วยเรื่องการเผาผลาญและช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานดีขึ้น 

อดอาหารแบบดื่มแค่น้ำเปล่า (Water Fasting)

        Water Fasting คือการอดอาหารแบบดื่มน้ำเปล่าในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น มักทำสั้นๆ 1-3 วันเพื่อลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วที่สุด เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นกลไกการกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) โดยมีประโยชน์คือช่วยดีท็อกซ์ร่างกายและลดความดันโลหิต แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เช่น ขาดน้ำหรือเวียนหัว ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายได้หากทำไม่ถูกวิธี

การอดอาหารเกิน 24 ชั่วโมง (Prolonged Fasting)

        Prolonged Fasting คือการอดอาหารนานเกิน 24 ชั่วโมงขึ้นไป (ในบางกรณีอาจอดถึง 3-7 วัน) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกลไกการกินตัวเองของเซลล์เช่นเดียวกับการทำ Water Fasting และช่วยรีเซ็ตระบบเผาผลาญ คนที่สุขภาพดีอยู่แล้วหรือไม่ได้มีความจำเป็นทางการแพทย์ ก็ไม่ควรอดอาหารโดยวิธีนี้ หากใครคิดจะทำ Prolonged Fasting ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน

Fast Fact: ทำไม Fasting ถึงช่วยกระตุ้น Autophagy ได้?

         จะเห็นว่าการอดอาหารหรือ Fasting คือวิธีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นกลไลการกินตัวเองของเซลล์ หรือ Autophagy อ้างอิงจากงานวิจัยของ National Institutes of Health เรื่อง The Beneficial and Adverse Effects of Autophagic Response to Caloric Restriction and Fasting พบว่าการจำกัดแคลอรีและการทำ Fasting สามารถกระตุ้นกระบวนการ Autophagy ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เซลล์ใช้กำจัดโปรตีนที่ผิดรูป อวัยวะเซลล์ที่เสียหาย และสารพิษต่าง ๆ

        เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะขาดพลังงาน หรือช่วงระหว่างการอดอาหารระยะสั้น จะมีการเพิ่มการไหลเวียนของกระบวนการ Autophagy (Autophagic Flux) ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ และรักษาสมดุลของร่างกาย ในขณะที่การอดอาหารแบบพอดีและอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มอายุขัยได้ อย่างไรก็ตาม หากการอดอาหารรุนแรงหรือยาวนานเกินไป อาจกระตุ้น Autophagy ในระดับที่เป็นอันตรายและทำให้เกิดการตายของเซลล์ได้เช่นกัน

ทำ Fasting ยังไงให้ถูกวิธี?

         เพราะการทำ Fasting คือการรบกวนการทานปกติที่ร่างกายเคยชิน จึงต้องมีวิธีการทำ Fasting ให้เหมาะสม โดยหลัก ๆ ก็เพื่อให้เข้ากับร่างกายและความต้องการที่แตกต่างกันไป โดยมีข้อแนะนำดังนี้

  1. เตรียมร่างกายให้พร้อม

     ก่อนเริ่มต้นการทำ Fasting ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้ชำนาญการด้านการลดน้ำหนักและโภชนาการ เพื่อประเมินสภาพร่างกายและเลือกรูปแบบการอดอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ หรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพอื่น ๆ

  2. เริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป

     การทำ Fasting ควรเริ่มจากการปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น เริ่มจากการอดอาหารในระยะเวลาสั้น ๆ ก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะเครียดหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ จากการอดอาหาร

  3. เลือกรูปแบบ Fasting ที่เหมาะสมกับตัวเอง

    เนื่องจาก Fasting มีหลายรูปแบบ เช่น Intermittent Fasting (IF), Time-Restricted Eating (TRE), Alternate Day Fasting (ADF) และ Circadian Fasting จึงควรเลือกรูปแบบที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และเป้าหมาย เช่น

    • Circadian Fasting เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เน้นการกินตามนาฬิกาชีวิต สำหรับนำไปต่อยอดการอดอาหารรูปแบบอื่น ๆ
    • Alternate Day Fasting เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทำ IF มาก่อนและต้องการความเข้มข้นในการควบคุมแคลอรีให้มากยิ่งขึ้น
  4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ 

    ในระหว่างการอดอาหาร ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอเพื่อรักษาความสมดุลของร่างกาย ป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยลดความรู้สึกหิว อาจเลือกเครื่องดื่มที่ไม่มีพลังงาน เช่น ชาหรือกาแฟดำที่ไม่เติมน้ำตาล ไม่เติมนมได้เช่นกัน

  5. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ในช่วงเวลาที่ทานอาหาร

    ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ครบถ้วนใน 5 หมู่ โดยเน้นผัก ผลไม้สด โปรตีนคุณภาพดี และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลสูง และไขมันอิ่มตัว เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูสุขภาพและผลลัพธ์ของ Fasting ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

  6. สังเกตร่างกายระหว่างทำ Fasting 

    หากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือรู้สึกไม่สบาย ควรหยุดการอดอาหารทันที และปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ หรือการทำ Fasting ไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในขณะนั้น

  7. ทำ Fasting สม่ำเสมอ กำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน

    การทำ Fasting ให้ได้ผลควรมีความสม่ำเสมอ เช่น การทำ IF สัปดาห์ละ 3–4 วัน หรือการทำ TRE อย่างต่อเนื่อง 1 เดือน ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนด ควรกลับมารับประทานอาหารที่มีความสมดุลครบถ้วน และดูแลสุขภาพด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นไปอย่างยั่งยืน

การทำ Fasting ไม่เหมาะกับใคร

  • คนที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคไต, โรคความดันโลหิตต่ำ, โรคกระเพาะอาหาร, โรคทางจิตเวชต่าง ๆ 
  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • คนที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
  • เด็กและวัยรุ่น
  • คนที่ใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ
  • คนที่มีประวัติการกินผิดปกติ
  • คนที่ต้องใช้พลังงานมากกว่าคนทั่วไป
  • คนที่นอนหลับไม่เพียงพอ หรือจัดการเวลานอนที่เหมาะสมไม่ได้
  • คนที่มีภาวะเครียดหรือวิตกกังวล
  • คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
แชร์ :

สรุป

        การทำ Fasting คือทางเลือกลดน้ำหนักรวดเร็ว ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่เป็นสาเหตุของพุงย้วย แต่ควรอยู่ในความเหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล ซึ่งเราสามารถเลือก IF แบบที่เข้ากับตัวเอง และค่อย ๆ ปรับให้ร่างกายคุ้นเคยกับการทำ Fasting และอีกหัวใจสำคัญคือการทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งช่วยเติมเต็มสารอาหารที่ร่างกายต้องการ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ Fasting เพื่อไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

กรอกฟอร์ม ปรึกษาหมอ ฟรี!