loader image

แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ

แอลคาร์นิทีน

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนออกกำลังกายหนัก แต่ไขมันก็ยังลดได้ไม่เต็มที่? หนึ่งในตัวช่วยที่ถูกพูดถึงบ่อยในวงการฟิตเนสและคนรักสุขภาพก็คือ แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) สารที่เกี่ยวข้องกับการดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงาน ช่วยให้การเผาผลาญทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายคนจึงมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการลดหุ่นและทำให้รูปร่างกระชับ นอกจากเรื่องหุ่นสวยหุ่นเฟิร์มแล้ว แอลคาร์นิทีนยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจต่อทั้งสมรรถภาพร่างกายและสุขภาพโดยรวม ซึ่งเราจะมาเจาะลึกกันต่อในบทความนี้

เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง

แอลคาร์นิทีน คืออะไร

แอลคาร์นิทีน (L-Carnitine) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองจากไลซีน (Lysine) และเมไทโอนีน (Methionine) โดยทำงานร่วมสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามินซี วิตามินบี6 และไนอาซินในการสังเคราะห์ให้สมบูรณ์ ซึ่งบทบาทสำคัญของแอลคาร์นิทีนคือการเผาผลาญไขมันและสร้างพลังงาน ด้วยการทำหน้าที่ในการลำเลียงกรดไขมันสายยาว (Long-Chain Fatty Acids) เข้าสู่ไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสร้างพลังงานของเซลล์ ทำให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นพลังงานที่ใช้ได้จริง


และนอกจากบทบาทในด้านการให้พลังงานแล้ว แอลคาร์นิทีนยังมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ สมอง และกล้ามเนื้อ ช่วยลดการสะสมของเสียจากการเผาผลาญพลังงาน และสนับสนุนการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แอลคาร์นิทีนมีกระบวนการทำงานอย่างไรในร่างกาย

หลังจากที่เราได้รับแอลคาร์นิทีนเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นจากการรับประทานอาหาร อาหารเสริม หรือแอลคาร์นิทีนแบบฉีด ร่างกายจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและลำเลียงไปยังอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อและหัวใจที่ต้องใช้พลังงานสูง โดยกลไกสำคัญคือการช่วยขนส่งกรดไขมันสายยาว (Long-Chain Fatty Acids) เข้าสู่ไมโทคอนเดรีย เพื่อสลายเป็นพลังงานในรูปแบบ ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย

 

จากกระบวนการนี้เองจึงทำให้แอลคาร์นิทีนถูกมองว่ามีความสำคัญต่อหลายระบบในร่างกาย ไม่ใช่เพียงเรื่องการเผาผลาญไขมันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพร่างกาย การทำงานของหัวใจ และการคงสภาพของระบบประสาท

แอลคาร์นิทีนมีกี่แบบ? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับร่างกาย

แอลคาร์นิทีนมีหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามคุณสมบัติและการดูดซึม ซึ่งแต่ละชนิดเหมาะกับการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน

  • L-Carnitine L-Tartrate เป็นรูปแบบที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ออกฤทธิ์ไว จึงมักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับนักกีฬา เพราะช่วยเพิ่มความทนทาน ลดอาการปวดล้าหลังออกกำลังกาย และฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • Acetyl-L-Carnitine (ALCAR) มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถผ่านเข้าสู่สมองได้ จึงถูกนำมาใช้ในด้านการเสริมระบบประสาทและสมอง เช่น ช่วยเรื่องความจำ การเรียนรู้ และลดภาวะสมองล้า
  • Propionyl-L-Carnitine มีบทบาทในด้านการสร้างไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนและความดันโลหิต

 

ประโยชน์ของแอลคาร์นิทีนต่อสุขภาพ

นอกจากแอลคาร์นิทีนจะมีประโยชน์ต่อการเผาผลาญไขมันแล้ว แต่ก็ยังมีบทความสำคัญหลายอย่างที่ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะในเนื้อเยื่อที่มีความต้องการพลังงานสูงอย่างกล้ามเนื้อ หัวใจ และสมอง

เร่งการเผาผลาญของไขมัน

แอลคาร์นิทีนไม่ได้เป็นสารที่ช่วยละลายไขมันได้โดยตรง แต่เป็นตัวช่วยกระตุ้นการใช้ไขมันด้วยการเร่งการขนส่งไขมันเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย ซึ่งการเสริมแอลคาร์นิทีนควบคู่ไปกับการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความสามารถในการดึงไขมันสำรองออกมาใช้เป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะการเผาผลาญไขมันได้เพิ่มขึ้น

ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

ถึงแม้ว่าแอลคาร์นิทีน จะไม่ได้ช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อทางอ้อม ด้วยการช่วยให้ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงานได้มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อไม่ต้องถูกมาใช้เป็นพลังงานหลัก ลดการสลายตัวของกล้ามเนื้อ และเมื่อร่างกายเกิดการสะสมไขมันลดลง ก็จะทำให้เราเห็นมวลกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพิ่มสมรรถภาพการออกกำลังกาย

เมื่อร่างกายมีแอลคาร์นิทีนที่เพียงพอ กล้ามเนื้อจะดึงพลังงานจากกรดไขมันมาใช้ได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายมีพลังงานต่อเนื่อง ลดอาการล้า และช่วยฟื้นตัวหลังการฝึกได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการสะสมของกรดแลกติกที่มักเป็นสาเหตุของอาการปวดตึงกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายหนัก

เสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท

แอลคาร์นิทีน ในรูปแบบ Acetyl-L-Carnitine (ALCAR) มีบทความในการผลิตอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทหลักที่เกี่ยวข้องกับ ความจำ สมาธิ การเรียนรู้ ซึ่งการเสริม ALCAR จึงช่วยบำรุงสมอง และลดภาวะความเหนื่อยล้าของสมอง นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีประโยชน์ในการชะลอความเสื่อมของระบบประสาทตามวัย

ฟื้นฟูหัวใจและหลอดเลือด

หัวใจเป็นอวัยวะที่ใช้พลังงานจากการเผาผลาญไขมันเป็นหลัก การมีแอลคาร์นิทีนที่เพียงพอช่วยให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เสริมการไหลเวียนโลหิต และลดความเสี่ยงของการทำงานผิดปกติ เมื่อระบบหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น ก็ช่วยสนับสนุนให้ร่างกายออกกำลังกายได้ดีกว่าเดิม และส่งผลให้รูปร่างกระชับมากยิ่งขึ้นด้วย

ควรกินแอลคาร์นิทีนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากแอลคาร์นิทีน เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณ เวลา และรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเราเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้

ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

แอลคาร์นิทีนเป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองจากกรดอะมิโน แต่ในบางคน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือผู้ที่ออกกำลังกายหนักอาจต้องการเสริมเพิ่มเติม โดยทั่วไปปริมาณที่ใช้กันในงานวิจัยและทางโภชนาการอยู่ที่ 500 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถือว่าไม่เป็นอันตรายในคนสุขภาพดี แต่ในบางกรณี เช่น นักกีฬาอาชีพหรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย แพทย์อาจแนะนำให้ใช้สูงถึง 3,000 มิลลิกรัมต่อวันได้ 


อย่างไรก็ตาม แอลคาร์นิทีนข้อเสียที่พบบ่อยเมื่อได้รับในปริมาณที่สูงเกิน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน คือการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือมีกลิ่นตัวคล้ายคาวปลา (Fishy Odor) ดังนั้นจึงไม่ควรใช้เกินจากปริมาณที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้

เวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน

  • เพื่อการออกกำลังกายและฟื้นตัว ควรรับประทานประมาณ 30-60 นาทีก่อนออกกำลังกาย หรือทันทีหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้กรดไขมันถูกดึงมาใช้เป็นพลังงานได้ทันที และเร่งกระบวนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อหลังการฝึก
  • เพื่อสุขภาพสมอง สามารถรับประทาน พร้อมมื้ออาหารเช้าหรือมื้อกลางวัน เพื่อให้สารสื่อประสาททำงานได้ดีตลอดวัน
  • เพื่อการดูดซึมที่ดี ควรรับประทานพร้อมกับ คาร์โบไฮเดรตหรืออินซูลิน ในปริมาณเล็กน้อย เพราะอินซูลินจะช่วยกระตุ้นการขนส่งคาร์นิทีนเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คำแนะนำสำหรับคนทั่วไป vs นักกีฬา

  • สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือเสริมสุขภาพ โดยทั่วไปปริมาณที่แนะนำคือ 500 – 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณแอลคาร์นิทีน 500 สรรพคุณที่โดดเด่นคือการช่วยเพิ่มอัตราการใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงานในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือนและควรเน้นการรับประทานควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มอัตราการใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน
  • สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ปริมาณที่เหมาะสมคือ 1,500 – 2,500 มิลลิกรัม โดยแบ่งเป็น 2–3 ครั้ง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันและลดอาการล้า หรือทานร่วมกับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 60-80กรัม เพื่อการดูดซึมที่ดี แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการการกีฬา
แชร์ :

สรุปบทความ

แอลคาร์นิทีน คือสารอนุพันธ์กรดอะมิโนที่สำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยทำหน้าที่เป็นกุญแจที่ไขการขนส่งกรดไขมันเข้าไปในไมโทคอนเดรียเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงาน ซึ่งการเสริมแอลคาร์นิทีนจึงมีประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไขมัน เสริมความทนทานในการออกกำลังกาย และสนับสนุนการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อและหัวใจ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีในการสร้างรูปร่างที่กระชับและสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม หากต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพต้องมาพร้อมกับการควบคุมอาหารและวินัยในการออกกำลังกาย


อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนที่รู้สึกว่าการออกกำลังกายหรือการเสริมด้วยอาหารเสริมยังไม่ตอบโจทย์การลดไขมันเฉพาะจุด การดูดไขมันจึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยจัดการไขมันส่วนเกินได้ถูกจุด ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน้าท้อง แขน ขา เหนียง หรือสะโพก ซึ่งวิธีนี้สามารถทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน รวดเร็ว และช่วยปรับสัดส่วนให้ดูสมส่วนมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาไขมันดื้อที่กำจัดได้ยากด้วยวิธีทั่วไป

หากท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัดรูปร่างและรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับโปรแกรม After Care ของเรา สามารถติดต่อสอบถามทีมเจ้าหน้าที่ของ AM International Hospital ได้ตามช่องทางดังนี้

กรอกฟอร์ม ปรึกษาหมอ ฟรี!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Thank You!

You details has been successfully submitted. Thanks!

ขอบคุณ!

ข้อมูลของคุณถูกส่งเรียบร้อยแล้ว 

ขอบคุณข้อเสนอแนะติชม