การดูแลผิวเพื่อให้ดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และลดริ้วรอย ซึงในปัจจุบันมีเทคโนโลยีความงามให้เลือกหลากหลาย หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการเข้าโปรแกรมฉีดกระตุ้นคอลลาเจนมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด โดยชื่อที่ถูกพูดถึงบ่อยก็คือโปรแกรม Juvelook vs โปรแกรม Sculptraแต่หลายคนอาจสงสัยว่าสองตัวนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? ใช้แล้วช่วยเรื่องไหนบ้าง? และควรเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะกับตัวเอง สำหรับบทความนี้จะพามาเจาะลึกการทำงานโปรแกรม Juvelook และ Sculptra และเหมาะกับใคร การเปรียบเทียบข้อดีข้อสังเกตเพื่อให้ได้ความเข้าใจและตัดสินใจง่ายขึ้น
Juvelook vs Sculptra คืออะไร
โปรแกรม Juvelook เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ตัวสารประกอบสำคัญคือ Poly D, L-lactic acid (PDLLA) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่มีความปลอดภัยและผ่านการรับรอง สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้โปรแกรม Juvelook ยังมีกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ผสมอยู่จึงช่วยให้ผิวดูชุ่มชื้นในทันทีหลังทำ
โปรแกรม Sculptra เป็นอีกหนึ่งชนิดของสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-lactic acid (PLLA) เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายกับโปรแกรม Juvelook แต่โปรแกรม Sculptra จะเน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเชิงลึก เหมาะกับการเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ กรอบหน้า และหน้าแก้มหรือผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากโดยไม่ต้องผ่าตัด
ทั้งสองตัวนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Collagen Stimulator หรือ Biostimulator แตกต่างจากการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปที่เน้นเติมเต็มในทันทีเพราะโปรแกรม Juvelook และ โปรแกรม Sculptra จะเน้นการกระตุ้นให้ผิวฟื้นฟูตัวดูเป็นธรรมชาติ
โปรแกรม Juvelook vs Sculptra ช่วยเรื่องอะไร
การเลือกทำโปรแกรม Juvelook vs Sculptra จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข โดยทั้งคู่มีจุดร่วมคือช่วยแก้ปัญหาการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว แต่ความแตกต่างคือโปรแกรม Juvelook เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยตื้น ๆ เช่น รอยรอบดวงตาหรือรอยย่นเล็ก ๆ บนใบหน้า ช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน เพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวดูสดใสสุขภาพดี จึงมักเหมาะกับคนอายุประมาณ 25 – 40 ปีที่เริ่มมีสัญญาณผิวเสื่อม
ส่วนโปรแกรม Sculptra จะตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ กรอบหน้า และหน้าแก้ม รวมถึงปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่เห็นได้ชัด เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ทำให้ผิวฟื้นคืนความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์ เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปหรือผู้ที่สูญเสียความกระชับของผิวมาก
ดังนั้นหากต้องการแก้ไขริ้วรอยเล็ก ๆ และฟื้นฟูผิวให้ละเอียดขึ้น โปรแกรม Juvelook จะเหมาะกว่า แต่หากมีร่องลึกหรือผิวหย่อนคล้อยโปรแกรม Sculptra จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
โปรแกรม Juvelook vs Sculptra เหมือนกันไหม
แม้ว่าโปรแกรม Juvelook vs Sculptraจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกันแต่ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด ทั้งสองชนิดต่างให้สารในตระกูล Lactic Acid ที่ได้รับมาตรฐาน มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ไม่ใช่โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ที่เติมเต็มทันที แต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้นหลังทำและจำเป็นต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงได้ผลลัพธ์ตามต้องการ
อย่างไรก็ตามการตอบสนองของผิวแต่ละคนอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอายุ โครงสร้างผิว การดูแลหลังทำ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนมีผลโดยตรงต่อการสร้างคอลลาเจนและสุขภาพผิวโดยรวม
โปรแกรม Juvelook vs Sculptra ต่างกันอย่างไร
Juvelook และ Sculptra เป็นนวัตกรรมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในด้านส่วนประกอบหลัก กลไกการออกฤทธิ์ และลักษณะปัญหาผิวที่เหมาะสม การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณเลือกโปรแกรมที่ตอบโจทย์ความต้องการผิวของคุณได้ดี
คุณสมบัติ | Juvelook | Sculptra |
ส่วนประกอบหลัก | PDLLA (Poly-D,L-Lactic Acid) ผสม Hyaluronic Acid (HA) | PLLA (Poly-L-Lactic Acid) |
กลไกและการออกฤทธิ์ | – HA ให้ความชุ่มชื้นและผิวสดใสทันที – PDLLA กระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง | PLLA อย่างเดียว เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเชิงลึกและค่อย ๆ เห็นผลในระยะยาว |
จุดเด่น/ผลลัพธ์หลัก | เน้นการฟื้นฟูผิวโดยรวมให้ละเอียด เรียบเนียน ชุ่มชื้น และสดใส | เน้นการเติมเต็มร่องลึก คืนความกระชับ และยกผิวที่หย่อนคล้อย |
เหมาะกับปัญหาผิว | ริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวหมองคล้ำ รูขุมขนกว้าง ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวเสื่อมเล็กน้อย | ร่องลึกชัดเจน (ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ขมับ) หน้าแก้ม กรอบหน้าที่หย่อนคล้อย |
ช่วงเวลาเห็นผล | เห็นความสดใสทันที (จาก HA) และเริ่มเห็นผลคอลลาเจนต่อเนื่อง | ค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นหลังฉีดประมาณ 1-2 เดือน |
ระยะเวลาคงผลลัพธ์ | มักอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี | หากทำครบจำนวนครั้ง ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 2 ปี |
จำนวนครั้งที่แนะนำ | 2-3 ครั้ง ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ | 2-4 ครั้ง ห่างกันประมาณ 1 เดือน |
สรุปความต่าง Juvelook ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิวให้เนียนละเอียดและชุ่มชื้นในผู้ที่ยังไม่มีปัญหาหนัก ส่วน Sculptra เน้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวเชิงลึกที่หย่อนคล้อยและมีร่องลึกชัดเจน เพื่อผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า
ขั้นตอนการทำ Juvelook vs Sculptra ต่างกันไหม
ขั้นตอนการทำของโปรแกรม Juvelook vs Sculptra มีความคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปจะเริ่มจาก การประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา การทำความสะอาดผิวและทายาชาเพื่อลดความเจ็บ และการฉีดสารเข้าสู่ผิวหนังด้วยเทคนิคเฉพาะ ซึ่งความต่างคือโปรแกรม Juvelook จะรู้สึกผิวชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังฉีดเพราะมี HA ผสมอยู่
ส่วนโปรแกรม Sculptra จะต้องรอเวลาสักพักจึงเห็นผลจริง และหลังทำทั้งคู่อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยซึ่งเป็นปกติ และสามารถหายได้เองในไม่กี่วัน หากใครมีอาการหน้าบวมเกินปกติหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการรักษาได้อย่างถูกวิธี
ตารางเปรียบเทียบ Juvelook vs Sculptra
เมื่อเปรียบเทียบโปรแกรม Juvelook vs Sculptra หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนจะเหมาะกับปัญหาผิวของตัวเอง การทำความเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ จะช่วยในการตัดสินใจได้อย่างชัดเจนขึ้น ก่อนจะเลือกแนวทางการรักษาที่ตรงกับผิวตัวเอง
คุณสมบัติ | โปรแกรม Juvelook | โปรแกรม Sculptra |
สารประกอบหลัก | PDLLA + HA | PLLA |
การเห็นผล | ทันที + ค่อย ๆ ดีขึ้น | เห็นผลชัดหลัง 1-2 เดือน |
เหมาะกับ | ริ้วรอยเล็ก ผิวหมองคล้ำ | ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อยมาก |
จำนวนครั้ง | 2-3 ครั้ง | 2-4 ครั้ง |
ผลลัพธ์อยู่ได้ | 1-2 ปี | 2 ปีขึ้นไป |
Juvelook vs Sculptra เลือกทำแบบไหนดี
การเลือกทำโปรแกรม Juvelook vs Sculptraไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและเป้าหมายที่ต้องการ หากต้องการให้ผิวละเอียดขึ้น ลดริ้วรอยเล็ก ๆ โปรแกรม Juvelook อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ถ้ามีร่องลึกและผิวหย่อนคล้อยมาก โปรแกรม Sculptra จะช่วยได้ชัดเจนกว่า
สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อประเมินว่าผิวและโครงสร้างใบหน้าของคุณเหมาะกับแบบใด รวมถึงพิจารณาร่วมกับวิธีดูแลสุขภาพผิวอื่น ๆ เช่น การพักผ่อนเพียงพอ การเลือกอาหารที่มีประโยชน์ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การทำดริปวิตามินผิว อันตรายไหมหากทำโดยไม่อยู่ในความดูแลที่ถูกต้อง
Juvelook vs Sculptra ราคาเท่าไหร่
เรื่องราคาของโปรแกรม Juvelook vs Sculptraถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หลายคนใช้ในการตัดสินใจ โดยทั่วไปแล้วโปรแกรม Juvelook มักมีราคาต่อครั้งต่ำกว่าโปรแกรม Sculptra เนื่องจากเหมาะกับการฟื้นฟูผิวเบื้องต้นและใช้ปริมาณยาน้อยกว่า ขณะที่โปรแกรม Sculptra มีราคาสูงกว่าเพราะมักใช้ปริมาณมากและเน้นการแก้ไขปัญหาร่องลึกอย่างจริงจัง โดยราคาโปรแกรม Sculptra ที่ AM International Hospital ราคาเริ่มต้น 29,000 บาท
ทั้งนี้ ราคาจริงอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาผิว ปริมาณยาที่ต้องใช้ อายุ รวมถึงโปรโมชั่นที่คลินิกจัดขึ้นเป็นระยะ ๆ การเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินสภาพผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ได้ข้อมูลการรักษาและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อย
Juvelook vs Sculptra แบบไหนเจ็บกว่ากัน
ทั้งสองชนิดมีการทายาชาก่อนทำ จึงช่วยลดความรู้สึกเจ็บได้มาก ความรู้สึกเจ็บขึ้นอยู่กับเทคนิคโปรแกรมฉีดและความไวต่อความเจ็บของแต่ละคน
Juvelook vs Sculptra สามารถฉีดทั้งคู่ได้ไหม
โดยหลักการสามารถทำร่วมกันได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจัดลำดับการรักษาอย่างเหมาะสม และไม่ทำให้ผิวเกิดการอักเสบหรือหน้าบวมเกินไป
Juvelook vs Sculptra ต้องฉีดกี่ครั้ง อยู่ได้นานไหม
โปรแกรม Juvelook ประมาณ 2-3 ครั้งต่อคอร์ส ผลลัพธ์อยู่ได้ 1-2 ปี
โปรแกรม Sculptra ประมาณ 2-4 ครั้งต่อคอร์ส ผลลัพธ์อยู่ได้มากกว่า 2 ปี
สรุปบทความ
Juvelook vs Sculptraเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดยโปรแกรม Juvelook เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวเบื้องต้น เช่น ริ้วรอยเล็ก ๆ ผิวไม่สดใส ขณะที่โปรแกรม Sculptra เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาร่องลึกหรือผิวหย่อนคล้อยมาก ผลลัพธ์ทั้งสองแบบไม่ได้เห็นทันทีเหมือนโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ทั่วไป แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามการสร้างคอลลาเจนใหม่ซึ่งเป็นการฟื้นฟูผิวจากภายใน อย่างไรก็ตามการเลือกทำควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้ชำนาญการ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ และความเหมาะสมต่อสภาพผิวของแต่ละคน
Social Media




