ศัลยกรรมเสริมหน้าอก เพิ่มความมั่นใจ อัพไซซ์สวยดูเป็นธรรมชาติ

หน้าอกเล็ก อกห่าง หรือหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่ทำให้สาว ๆ หลายคนขาดความมั่นใจในเรื่องการแต่งตัวหรือการใช้ชีวิต แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัญหาเหล่านี้แก้ได้ด้วยการเสริมหน้าอกซึ่งมีหลายวิธีให้เลือก แล้วแบบไหนจะเหมาะกับเรามากที่สุด? วันนี้ AM Hospital ขนข้อมูลดี ๆ มาให้แล้ว กับการเสริมหน้าอกที่ปลอดภัย แผลเล็ก และดูเป็นธรรมชาติในบทความ ‘เสริมหน้าอกมีกี่แบบ? สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรม’

เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง

ศัลยกรรมเสริมหน้าอกคืออะไร?

ศัลยกรรมเสริมหน้าอก คือ การผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงของหน้าอก โดยการนำวัสดุทางการแพทย์ที่เรีกว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกหรือเต้านมเทียม เข้าไปวางไว้ใต้เนื้อเยื่อเต้านมหรือใต้กล้ามเนื้อหน้าอก เพื่อให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้นได้สัดส่วนที่สวยงามให้เหมาะสมกับสรีระและความต้องการของแต่ละบุคคล หรือเพื่อแก้ไขความไม่สมมาตรของหน้าอกทั้งสองข้าง โดยการผ่าตัดนี้มักทำเพื่อเหตุผลด้านความงาม ความมั่นใจ หรือเพื่อฟื้นฟูสภาพหน้าอกภายหลังการผ่าตัดเต้านม เช่น การผ่าตัดมะเร็งเต้านม

ประเภทของซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ควรรู้

  • ซิลิโคนเสริมหน้าอกมีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีลักษณะและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกประเภทของซิลิโคนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สรีระเดิมของผู้รับการผ่าตัด ความต้องการผลลัพธ์ที่ได้ และคำแนะนำของศัลยแพทย์

  • ซิลิโคนแบบหยดน้ำ มีลักษณะฐานกว้างปลายเรียวคล้ายกับหยดน้ำหรือรูปทรงคล้ายหน้าอกตามธรรมชาติ ไม่กลมบล็อกหรือดูเป็นลูกบอลมากเกินไป เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกให้ดูเป็นธรรมชาติ หรือผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย และต้องการสร้างมิติของเนินอก
  • ซิลิโคนทรงกลมกึ่งหยดน้ำ เป็นการออกแบบซิลิโคนเสริมหน้าอกให้มีความยืดหยุ่น ภายในบรรจุเจลที่มีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ตามทิศทางของแรงโน้มถ่วงและอิริยาบถของผู้สวมใส่ เมื่ออยู่ในท่ายืนซิลิโคนก็จะปรับตัวให้มีลักษณะคล้ายกับหยดน้ำ และเมื่ออยู่ในท่านอนหรือเอนตัวซิลิโคนก็จะถูกปรับคืนรูปให้เป็นทรงกลม ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติในทุก ๆ อิริยาบถ ดูเสมือนจริง และลดความรู้สึกถึงขอบซิลิโคน
  • ซิลิโคนทรงกลม เป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน มีลักษณะเป็นทรงกลมสมมาตรกันทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบนหรือด้านล่าง เมื่อเสริมเข้าไปในหน้าอกจะช่วยเพิ่มเนินอกให้ดูอวบอิ่มชัดเจน เหมาะกับผู้ที่ต้องการหน้าอกทรงชัด เซ็กซี่ ใส่ชุดแล้วดูโดดเด่น และต้องการสร้างเนินอกที่ชัดเจน รวมถึงผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหน้าอกหย่อนคล้อยเล็กน้อย
  • ซิลิโคนผิวเรียบ มีพื้นผิวที่เรียบเนียน สามารถเคลื่อนไหวภายในเต้านมได้อย่างคล่องตัวใกล้เคียงกับธรรมชาติคล้ายกับเนื้อหน้าอกจริง แต่อาจมีโอกาสเกิดพังผืดได้ง่ายกว่าซิลิโคนเสริมหน้าอกชนิดอื่น ๆ เนื่องจากเนื้อเยื่อบริเวณโดยรอบอาจเกาะตัวกับผิวเรียบได้ง่ายกว่า
  • ซิลิโคนผิวทราย มีลักษณะพื้นผิวขรุขระเล็กน้อยคล้ายกับเม็ดทรายละเอียด ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะกับเนื้อเยื่อรอบข้างได้ดี ลดโอกาสการเคลื่อนที่หรือการหมุนของซิลิโคน แต่ความรู้สึกสัมผัสอาจไม่เนียนนุ่มเท่าซิลิโคนเสริมหน้าอกแบบผิวเรียบ 
  • ซิลิโคนผิวกำมะหยี่ เป็นซิลิโคนที่มีพื้นผิวละเอียดกว่าซิลิโคนผิวทรายทั่วไป มีความรู้สึกนุ่มนวลคล้ายผิวกำมะหยี่ เทคโนโลยีการผลิตผิวกำมะหยี่นี้พัฒนาขึ้นเพื่อรวมข้อดีของซิลิโคนผิวเรียบและผิวทรายเข้าไว้ด้วยกัน คือให้สัมผัสที่นุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ซิลิโคนยึดเกาะกับเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ลดการเคลื่อนที่และอาจลดความเสี่ยงของการเกิดพังผืดหดรัดได้เช่นกัน ถือเป็นทางเลือกที่ผสมผสานความเรียบเนียนและความสามารถในการยึดเกาะ

ซิลิโคนเสริมหน้าอกมียี่ห้ออะไรบ้าง

ปัจจุบันมีซิลิโคนเสริมหน้าอกหลายยี่ห้อที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน โดยแต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดเด่นและเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป การเลือกยี่ห้อซิลิโคนขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความต้องการของผู้เข้ารับบริการ และคำแนะนำของศัลยแพทย์ ซึ่งยี่ห้อซิลิโคนที่เป็นที่นิยมได้แก่

  • Mentor เป็นแบรนด์ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้ซิลิโคนที่มีคุณภาพและให้ความปลอดภัย ทั้งยังมีหลากหลายรูปทรงและพื้นผิวให้เลือกทั้งแบบทรงกลม หยดน้ำ รวมไปถึงพื้นผิวเรียบและผิวทราย
  • Mentor Xtra เป็นซิลิโคนรุ่นใหม่จาก Mentor ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เน้นความพุ่งและเต็มอิ่มของหน้าอกมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการบรรจุเจลที่แน่นขึ้น ทำให้ซิลิโคน Mentor Xtra มีความพุ่งและคงรูปทรงได้อย่างดี ให้ผลลัพธ์เนินหน้าอกอวบอิ่มดูเป็นธรรมชาติ
  • Motiva เป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีซิลิโคนทรงกลมกึ่งหยดน้ำ สามารถปรับรูปทรงได้ตามสรีระและอิริยาบถของผู้สวมใส่ ดูเป็นธรรมชาติและเสมือนจริงในทุก ๆ ท่วงท่า ทั้งยังมี เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Qid  ซึ่งเป็นไมโครชิปขนาดเล็กฝังในซิลิโคนเพื่อระบุข้อมูลของซิลิโคนได้ และ BluSeal ซึ่งเป็นชั้นกั้นเจลสีฟ้าที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเจลจะไม่รั่วซึม
  • Sebbin เป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ผลิตขึ้นจากประเทศฝรั่งเศส มีหลากหลายรูปทรงและขนาด รวมถึงพื้นผิวแบบ Microtextured ที่ออกแบบมาให้ยึดเกาะกับเนื้อเยื่อได้ดี ลดการเคลื่อนที่ของซิลิโคน พร้อมคงความนุ่มนวลและดูเป็นธรรมชาติ
  • Silimed เป็นซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ผลิตจากบราซิล ความโดดเด่นอยู่ที่ความหนาแน่นและความยืดหยุ่นสูง ทำให้มีความคงทนและคือรูปได้เร็ว และยังเป็นยี่ห้อแรก ๆ ที่มีทรงหยดน้ำ ในราคาที่เข้าถึงง่ายเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น ๆ

เทคนิคการเสริมหน้าอกมีกี่รูปแบบ

เทคนิคการเสริมหน้าอกสามารถแบ่งออกได้ตามวิธีการใส่ซิลิโคน ตำแหน่งการวาง และตำแหน่งของแผลผ่าตัด ซึ่งศัลยแพทย์จะพิจารณาเลือกเทคนิคที่เหมาะสมในแต่ละเคส โดยคำนึงถึงสรีระเดิม ความต้องการ และผลลัพธ์ที่คาดหวัง 

การใส่ซิลิโคนแบบใช้กรวย

เป็นเทคนิคสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องมือพิเศษคล้ายกรวยที่มีความลื่นเป็นตัวช่วยในการนำซิลิโคนเสริมหน้าอกเข้าสู่ช่องว่างที่เตรียมไว้ภายในหน้าอก โดยไม่ต้องใช้มือจับซิลิโคนโดยตรง ช่วยลดการสัมผัสของซิลิโคนกับผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียที่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถใช้แผลผ่าตัดที่มีขนาดเล็กลงได้ ซึ่งส่งผลให้แผลเป็นสวยงามขึ้นและลดการบอบช้ำของเนื้อเยื่อรอบข้าง

การใส่ซิลิโคนแบบใช้มือ

เป็นเทคนิคดั้งเดิมที่ศัลยแพทย์ใช้มือในการนำซิลิโคนเสริมหน้าอกเข้าสู่ช่องว่างที่เตรียมไว้ ซึ่งข้อดีคือศัลยแพทย์สามารถควบคุมตำแหน่งและทิศทางของซิลิโคนได้อย่างแม่นยำ และสามารถปรับแต่งรูปทรงให้เข้ากับสรีระของคนไข้ได้ในขณะผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้อาจต้องใช้แผลผ่าตัดที่มีขนาดใหญ่กว่าการใช้กรวยเล็กน้อย และมีความเสี่ยงที่ซิลิโคนจะสัมผัสกับผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบได้

ตำแหน่งการวางซิลิโคน

ตำแหน่งการวางซิลิโคนเสริมหน้าอกเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์และความรู้สึกหลังการผ่าตัด โดยมี 3 ตำแหน่งหลัก ได้แก่

เหนือกล้ามเนื้อ

การวางซิลิโคนเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ คือการวางซิลิโคนไว้ใต้เนื้อเยื่อเต้านม แต่ยังคงอยู่เหนือกล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis Major) ข้อดีของเทคนิคนี้คือการฟื้นตัวที่ค่อนข้างเร็ว เจ็บปวดน้อยกว่า และหน้าอกดูเป็นธรรมชาติในผู้ที่มีเนื้อเต้านมเดิมพอสมควร อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงที่ซิลิโคนจะหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงได้ง่ายกว่าในระยะยาว หรือมองเห็นขอบซิลิโคนได้ชัดเจนขึ้นในผู้ที่มีเนื้อเต้านมน้อย

 ใต้กล้ามเนื้อ

การวางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ คือการวางซิลิโคนเสริมหน้าอกไว้ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis Major) ทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งการวางตำแหน่งนี้ช่วยให้ซิลิโคนได้รับการปกป้องจากกล้ามเนื้อ ทำให้หน้าอกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีเนื้อเต้านมน้อย นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอาจลดอัตราการเกิดพังผืดหดรัด และอาจช่วยให้ง่ายต่อการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้อาจมีอาการเจ็บปวดมากกว่าและใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าเล็กน้อย

กึ่งใต้กล้ามเนื้อ

การวางซิลิโคนเสริมหน้าอกแบบกึ่งใต้กล้ามเนื้อ เป็นเทคนิคที่ผสมผสานข้อดีของทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน โดยส่วนบนของซิลิโคนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อหน้าอก และส่วนล่างจะอยู่ใต้เนื้อเยื่อเต้านม (เหนือกล้ามเนื้อ) เทคนิคนี้ช่วยให้ซิลิโคนได้รับการปกป้องจากกล้ามเนื้อในส่วนบน ทำให้เนินอกดูเป็นธรรมชาติและลดการมองเห็นขอบซิลิโคน ในขณะที่ส่วนล่างที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อจะช่วยให้ซิลิโคนดูหย่อนคล้อยอย่างเป็นธรรมชาติและลดแรงกดทับของกล้ามเนื้อบนซิลิโคน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างความเป็นธรรมชาติและการรองรับที่ดี

แผลผ่าตัดเสริมหน้าอก

ตำแหน่งของแผลผ่าตัดเสริมหน้าอกมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวและความสวยงามของแผลเป็น มี 3 ตำแหน่งหลักที่นิยมใช้ ได้แก่

แผลใต้ราวนม

เป็นตำแหน่งแผลที่นิยมมากสุด โดยจะซ่อนอยู่ใต้รอยพับของเต้านม ทำให้มองเห็นได้ยากเมื่อยืนหรือใส่เสื้อผ้า ข้อดีคือศัลยแพทย์สามารถเข้าถึงพื้นที่ผ่าตัดได้ง่ายและชัดเจน ควบคุมการสร้างช่องว่างและการวางซิลิโคนเสริมหน้าอกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำและดูเป็นธรรมชาติ แผลเป็นที่เกิดขึ้นมักจะจางและซ่อนอยู่ในรอยพับได้ดี

แผลรอบปานนม

จะทำบริเวณขอบรอบ ๆ ปานนม ซึ่งจะทำให้แผลเป็นกลืนไปกับสีผิวที่แตกต่างกันระหว่างปานนมกับผิวหนังปกติ ทำให้มองเห็นได้ยากในระยะยาว ข้อดีคือตำแหน่งแผลที่กลมกลืนไปกับสีผิวรอบปานนม และการฟื้นตัวอาจรวดเร็วเนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ไกลจากจุดที่ทำการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้อาจมีข้อจำกัดด้านขนาดของซิลิโคนเสริมหน้าอกที่ใส่ได้ และอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและท่อน้ำนมได้บ้าง

แผลใต้รักแร้

จะซ่อนแผลผ่าตัดไว้ในบริเวณรักแร้ ทำให้ไม่มีแผลเป็นปรากฏบนหน้าอกโดยตรง ซึ่งเป็นข้อดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้มีแผลเป็นบนเต้านม อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ค่อนข้างซับซ้อนกว่า เนื่องจากศัลยแพทย์ต้องใช้กล้องส่องผ่าตัด (endoscope) ในการนำทางและสร้างช่องว่างจากระยะไกล ทำให้การควบคุมตำแหน่งของซิลิโคนเสริมหน้าอกอาจทำได้ยากกว่า และอาจมีอาการเจ็บปวดในบริเวณรักแร้ช่วงแรกของการฟื้นตัว

เสริมหน้าอกกี่ CC ดี? การเลือกขนาดที่เหมาะสม

การเลือกขนาดของซิลิโคนสำหรับเสริมหน้าอกไม่ใช่แค่การเลือกตามตัวเลข CC เท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมกับศัลยแพทย์ เช่น

  • สรีระเดิมของแต่ละคน เช่น ความกว้างของหน้าอก, ความสูง, น้ำหนัก, ขนาดเดิมของเต้านม, ปริมาณเนื้อเยื่อเต้านมและไขมันเดิม
  • รูปทรงของหน้าอกเดิม เต้านมเดิมมีลักษณะแบน, หย่อนคล้อย, หรือมีเนื้อน้อย
  • ความยืดหยุ่นของผิว ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดีหรือไม่ ซึ่งส่งผลต่อการรองรับขนาดของซิลิโคน
  • ความต้องการของแต่ละคน เช่น บางคนต้องการหน้าอกที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่บางคนอาจจะต้องการความอวบอิ่ม
  • วิถีชีวิตและการทำกิจกรรม เช่น การออกกำลังกาย หรือลักษณะงานที่ทำ

 

ศัลยแพทย์จะทำการวัดสัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจใช้เทคโนโลยีการจำลองภาพ 3 มิติ เพื่อช่วยใ้ผู้เข้ารับบริการเห็นภาพผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ และเลือกขนาดที่เหมาะสม

ความสัมพันธ์ระหว่าง CC และ Cup Size

การเทียบขนาดซิลิโคนเสริมหน้าอก (CC) กับคัพไซซ์ (Cup Size) ไม่สามารถนำมาเทียบขนาดกันได้โดยตรง เนื่องจาก Cup Size ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาตร (CC) ของหน้าอกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมของปริมาตรหน้าอกเดิม  ปริมาตรซิลิโคน และยังขึ้นกับความกว้างของทรวงอกและโครงร่างของแต่ละบุคคลด้วย อย่างไรก็ตาม สามารถยกตัวอย่างโดยประมาณได้ ดังนี้

  • 200 – 250 CC เพิ่มขึ้นประมาณ 1 คัพ
  • 300 – 350 CC ใกล้เคียงกับ คัพ B หรือ C
  • 400 CC โดยเฉลี่ยจะได้ คัพ C หรือ D
  • 500 CC ขึ้นไป อาจได้ถึง คัพ D ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับสรีระเดิม

โดยสรุปแล้ว การเลือกขนาดซิลิโคนเสริมหน้าอกควรมองในภาพรวมของสรีระ และปรึกษาศัลยแพทย์เพื่อทดลองขนาดและพิจารณาเป้าหมายที่ต้องการมากกว่าการยึดติดกับตัวเลข CC หรือ Cup Size เพียงอย่างเดียว

ขั้นตอนการเตรียมตัว การผ่าตัด และการดูแลหลังทำเสริมหน้าอก

การเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องอาศัยการเตรียมตัวที่ดี การผ่าตัดที่แม่นยำ และการดูแลหลังทำที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

การเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือหัตถการทางการแพทย์ใด ๆ ย่อมต้องเตรียมตัวก่อนให้พร้อมเสมอ สำหรับการเสริมหน้าอกก็เช่นกัน สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อให้การรักษาผ่านไปอย่างราบรื่น มีดังนี้

  1. นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  2. งดทานอาหารและน้ำก่อนผ่าตัด 8 ชั่วโมง (เพื่อป้องกันการสำลักขณะดมยาสลบ)
  3. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 2 สัปดาห์
  4. ตัดเล็บให้สั้นและล้างสีเล็บออก (เพื่อให้สังเกตได้ว่าร่างกายขาดออกซิเจนหรือไม่)
  5. ถอดฟันปลอม ถ้ามีฟันโยกต้องแจ้งแพทย์ก่อน
  6. ต้องมีเพื่อนหรือญาติ 1 คน เพื่อพากลับบ้าน

ขั้นตอนการผ่าตัด

  1. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดอย่างทั่วถึง
  2. การดมยาสลบ วิสัญญีแพทย์จะให้ยาสลบเพื่อให้ผู้เข้ารับบริการหลับตลอดการผ่าตัดและไม่รู้สึกเจ็บปวด
  3. การกรีดเปิดแผล ศัลยแพทย์จะกรีดเปิดแผลตามตำแหน่งที่ได้ตกลงกันไว้ (เช่น ใต้ราวนม, รอบปานนม, หรือใต้รักแร้)
  4. การสร้างช่องว่าง ศัลยแพทย์จะค่อย ๆ แยกเนื้อเยื่อเพื่อสร้างช่องว่างสำหรับใส่ซิลิโคนตามตำแหน่งที่เลือกไว้ (เหนือกล้ามเนื้อ, ใต้กล้ามเนื้อ, หรือกึ่งใต้กล้ามเนื้อ)
  5. การใส่ซิลิโคน ศัลยแพทย์จะใส่ซิลิโคนเข้าสู่ช่องว่างที่เตรียมไว้ อาจใช้กรวยช่วยในการใส่เพื่อลดการสัมผัสและแผลเล็กลง หรือใช้มือในการจัดตำแหน่ง
  6. การจัดตำแหน่งซิลิโคน ศัลยแพทย์จะจัดวางซิลิโคนให้เข้าที่และได้รูปทรงที่สวยงามตามที่วางแผนไว้
  7. การเย็บปิดแผล เมื่อซิลิโคนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ศัลยแพทย์จะเย็บปิดแผลด้วยไหมละลายหรือไหมที่ต้องตัดออกในภายหลัง
  8. การใส่สายระบาย (ถ้าจำเป็น) ในบางกรณี อาจมีการใส่สายระบายเลือดหรือน้ำเหลืองเพื่อป้องกันการสะสมของของเหลวใต้ผิวหนัง
  9. การปิดแผลและรัดด้วยสปอร์ตบรา แพทย์จะปิดแผลด้วยผ้าก๊อซและเทปทางการแพทย์ จากนั้นจะให้ใส่สปอร์ตบราแบบกระชับเพื่อช่วยพยุงและลดอาการบวม

การดูแลหลังการผ่าตัดและระยะเวลาพักฟื้น

แม้ทำนมเสร็จเรียบร้อย แต่กระบวนการยังไม่ถือว่าเสร็จสิ้น เพราะยังต้องดูแลตัวเองต่อเพื่อให้ผลลัพธ์ที่จะออกมาตอนท้ายทั้งสวย ดูดี และตรงตามที่ต้องการ ซึ่งการดูแลตัวเองหลังทำนมมีข้อควรปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

  1. ทานยาตามที่แพทย์สั่ง
  2. งดยกของหรือออกกำลังกายหนัก 3 – 4 สัปดาห์
  3. บางกรณีควรนวดหน้าอกเพื่อลดพังผืด
  4. งดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ 2 สัปดาห์
  5. หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง กึ่งสุกกึ่งดิบ หรืออาหารที่ไม่สะอาด
  6. แนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนสูง (ถ้านอนคว่ำซิลิโคนอาจผิดรูป)
  7. เข้ารับบริการ After Care
  8. งดใส่เสื้อชั้นในที่มีโครง แต่ใส่ซัปพอร์ตบรา (Support Bra) แทนในช่วง 4 สัปดาห์แรก

ราคาเสริมหน้าอกที่ AM International Hospital

ราคาเสริมหน้าอกมักจะเริ่มต้นที่ 60,000 บาทขึ้นไป โดยจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของทางสถานที่ให้บริการนั้น ๆ และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความซับซ้อนของแต่ละเคส ไปจนถึงวิธีที่ใช้ในการเสริมหน้าอกด้วย (เช็กโปรโมชั่นเพิ่มเติม)

คำแนะนำจากศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการ

การตัดสินใจเสริมหน้าอกเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพและการรักษาที่ให้ความปลอดภัย การปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และคำแนะนำที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

โรคอะไรบ้างที่ไม่ควรเสริมหน้าอก

ศัลยแพทย์จะไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดเสริมหน้าอกในผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หรือส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ โดยโรคหรือภาวะที่ไม่ควรเสริมหน้าอก ได้แก่

  • โรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้  เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้, โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้, โรคหัวใจและหลอดเลือดที่รุนแรง, โรคปอดเรื้อรัง (เช่น หอบหืดรุนแรง หรือถุงลมโป่งพอง) ผู้ป่วยที่มีโรคเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัดและการฟื้นตัว
  • โรคเลือดออกง่าย-หยุดยาก หรือความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียเลือดมากระหว่างผ่าตัดและเกิดอาการฟกช้ำหลังผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาละลายลิ่มเลือดบางชนิดก่อนผ่าตัด แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกำลังรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแออาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังผ่าตัดสูงขึ้น และส่งผลต่อการหายของแผล
  • โรคมะเร็ง หรือมีประวัติการรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่ยังไม่สมบูรณ์ การเสริมหน้าอกในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรักษาที่ครอบคลุม โดยต้องได้รับการประเมินจากศัลยแพทย์ด้านมะเร็งร่วมด้วย
  • การติดเชื้อเฉียบพลัน หรือการอักเสบบริเวณหน้าอก ควรเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกว่าการติดเชื้อหรือการอักเสบจะหายขาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของการติดเชื้อไปยังซิลิโคน
  • ภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อเต้านม และอาจมีผลต่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารก ควรเลื่อนการผ่าตัดออกไปจนกว่าจะหยุดให้นมบุตรและฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติ
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง หากคนไข้มีความคาดหวังที่ไม่เป็นไปได้ หรือมีภาวะทางจิตวิทยาบางอย่าง เช่น โรค Body Dysmorphic Disorder (BDD) แพทย์อาจพิจารณาไม่ผ่าตัด หรือแนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์ก่อน

อาการหลังเสริมหน้าอก 1 ปี เป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อผ่านไป 1 ปีหลังเสริมหน้าอก หน้าอกมักจะเข้าที่และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น อาการส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการฟื้นตัวก็จะหายไป อย่างไรก็ตาม อาจมีอาการหรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ยังคงอยู่ หรือเกิดขึ้นใหม่ได้ เช่น

  • หน้าอกนิ่มขึ้น และเข้าที่เต็มที่ โดยซิลิโคนจะเคลื่อนตัวได้ใกล้เคียงกับเต้านมธรรมชาติ
  • พังผืดรอบซิลิโคนเริ่มคงที่ หากไม่มีปัญหาพังผืดรัดตึงตั้งแต่ระยะแรก ก็ถือว่าอยู่ในภาวะปกติ
  • รู้สึกเป็นธรรมชาติขึ้น ทั้งในแง่สัมผัสและการเคลื่อนไหว เช่น ตอนวิ่งหรือเปลี่ยนท่าทาง
  • ไม่มีอาการปวดหรือบวม หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บเรื้อรัง แข็งเป็นก้อน หรือเต้านมผิดรูป ควรรีบพบแพทย์

โดยในระยะนี้แพทย์จะมีการติดตรวจติดตามอีกครั้ง เพื่อประเมินความเรียบร้อยของผลลัพธ์

อาการหลังเสริมหน้าอก 2 ปี มีอะไรบ้าง

หลังจาก 2 ปีขึ้นไป หน้าอกที่เสริมมาจะค่อนข้างคงที่และเข้าที่สมบูรณ์แล้ว อาการและข้อควรสังเกตจะคล้ายกับช่วง 1 ปี แต่จะเน้นไปที่การดูแลรักษาในระยะยาวและการสังเกตการณ์ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น

  • หน้าอกยังคงรูปทรงและความนุ่มไว้ได้ดี หากใช้ซิลิโคนคุณภาพสูงและมีการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
  • พังผืดส่วนใหญ่หยุดพัฒนา แต่บางคนอาจเริ่มมีพังผืดรัดตึงช้า ๆ ซึ่งควรสังเกตความรู้สึกตึงหรือแข็งผิดปกติ
  • บางรายอาจมีซิลิโคนขยับตำแหน่งเล็กน้อย เช่น เอียงหรือคล้อยลงเล็กน้อย โดยเฉพาะหากมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงหรือใส่ยกทรงไม่เหมาะสม
  • ควรตรวจเต้านมอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจคลำเบื้องต้นด้วยตนเอง และตรวจด้วยอัลตราซาวนด์หรือ MRI ตามคำแนะนำแพทย์

รู้ได้อย่างไรว่าแพ้ซิลิโคน

อาการแพ้ซิลิโคนนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกผ่านการรับรองให้ใช้ในร่างกายมนุษย์ แต่บางคนอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงในลักษณะของร่างกายไม่ยอมรับวัสดุแปลกปลอม ซึ่งอาจแสดงออกเป็นอาการต่อไปนี้

  • อักเสบ บวมแดง เจ็บบริเวณหน้าอกต่อเนื่อง แม้จะผ่านไปหลายสัปดาห์
  • มีของเหลวสะสม หรือไหลออกจากแผลผ่าตัดผิดปกติ
  • รู้สึกคันหรือร้อนบริเวณหน้าอก โดยไม่มีสาเหตุภายนอก
  • เกิดพังผืดรัดแน่นจนหน้าอกผิดรูป ภายในระยะเวลาอันสั้น

หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับไข้ หรือรู้สึกไม่สบายตัวผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินว่าเกิดจากการติดเชื้อ หรือภาวะร่างกายต่อต้านซิลิโคนหรือไม่

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริงที่ AM International Hospital

รีวิวการผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ AM International Hospital จากผู้มาใช้บริการจริง ซึ่งผู้เข้ารับบริการมีความคาดหวังเรื่องของขนาดหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ หลังจากทำผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยหน้าอกมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามสัดส่วนที่สมมาตรกับสรีระของผู้เข้ารับบริการ

หมอชวนคุยกับการเสริมหน้าอกที่ AM International Hospital

จากการสอบถามคุณหมอบาส - นพ. วันเฉลิม จงสิริวัฒนา (เลข ว.44595) เกี่ยวกับการเสริมหน้าอก สรุปได้ว่าการเสริมหน้าอกที่ดีไม่ใช่แค่การเพิ่มขนาดตามที่คนไข้ต้องการเท่านั้น แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจในสรีระ การรักษาที่ให้เกิดความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ดูสวยสมดุลในระยะยาว โดยทีมแพทย์ให้ความสำคัญกับการประเมินร่างกายอย่างละเอียด ทั้งขนาดหน้าอกเดิม ความยืดหยุ่นของผิวหนัง ความกว้างของทรวงอก รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้เข้ารับการผ่าตัด ก่อนจะแนะนำขนาดซิลิโคนและรูปทรงที่เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และลดโอกาสเกิดปัญหาในอนาคต

นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังเลือกใช้เทคนิคที่ให้ความปลอดภัย เช่น การใช้กรวยในการใส่ซิลิโคน เพื่อลดการสัมผัสกับเนื้อเยื่อและลดการบาดเจ็บ รวมถึงการเลือกวางซิลิโคนให้เหมาะกับเนื้อเยื่อของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการวางใต้กล้ามเนื้อ กึ่งใต้กล้ามเนื้อ หรือเหนือกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินอย่างรอบด้านของทีมแพทย์ อีกหนึ่งสิ่งที่ให้ความสำคัญคือ “การดูแลหลังผ่าตัด” ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบติดตามอาการและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการสามารถฟื้นตัวได้ดี และมั่นใจในผลลัพธ์ระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ทำหน้าอกอยู่ได้กี่ปี และจำเป็นต้องถอดซิลิโคนออกหรือไม่?

ซิลิโคนเสริมหน้าอกในปัจจุบันมีความทนทานสูงและสามารถอยู่ในร่างกายได้ตลอดชีวิตหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ไม่มีซิลิโคนชนิดใดอยู่ได้ตลอดไป จำเป็นต้องมีการตรวจเช็กเป็นประจำ และอาจพิจารณาเปลี่ยนหรือถอดออกหากมีการแตก รั่ว หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น พังผืดหดรัดรุนแรง

โดยทั่วไปแล้ว การเสริมหน้าอกไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการให้นมบุตร หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหรือตำแหน่งของแผลผ่าตัดที่กระทบต่อท่อน้ำนมโดยตรง เช่น การผ่าตัดแผลรอบปานนมที่อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเป็นรายบุคคล

โดยปกติแล้ว ศัลยแพทย์มักแนะนำให้ใส่สปอร์ตบราเพื่อพยุงหน้าอกและช่วยให้ซิลิโคนเข้าที่ในช่วง 3-6 เดือนแรก หลังช่วงนี้หากหน้าอกเข้าที่และไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ก็สามารถพิจารณาใส่เสื้อในแบบไม่มีโครงหรือโนบราได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ผ่าตัดเพื่อยืนยันอีกครั้ง

โดยทั่วไป แนะนำให้ใส่ สปอร์ตบรา (ซัพพอร์ตบรา) ตลอด 24 ชั่วโมง (ยกเว้นตอนอาบน้ำ) เป็นเวลาประมาณ 1-3 เดือนหลังการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของศัลยแพทย์แต่ละท่าน เพื่อช่วยพยุงหน้าอก ลดอาการบวม และช่วยให้ซิลิโคนเข้าที่อย่างเหมาะสม

ในช่วง 3-6 เดือนแรกหลังเสริมหน้าอกไม่ควรใส่เสื้อในมีโครง เนื่องจากโครงอาจกดทับและทำให้ซิลิโคนเสียรูปทรง หรืออาจส่งผลต่อการหายของแผลได้ ควรเลือกใส่สปอร์ตบราหรือเสื้อในที่ไม่มีโครงไปก่อนจนกว่าแพทย์จะอนุญาต

การนวดหน้าอกมักเริ่มได้หลังจากแผลผ่าตัดหายสนิทและซิลิโคนเริ่มเข้าที่ ซึ่งโดยทั่วไปคือ ประมาณ 1 เดือนหลังผ่าตัด หรือตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัด การนวดที่ถูกวิธีจะช่วยให้หน้าอกนิ่มขึ้นและลดโอกาสการเกิดพังผืด

สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ ประมาณ 3-7 วันหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก โดยต้องระมัดระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำในช่วงแรก อาจใช้ปลาสเตอร์กันน้ำปิดแผล หรือเช็ดตัวไปก่อนจนกว่าแพทย์จะอนุญาตให้แผลโดนน้ำได้

สามารถดื่มกาแฟได้ตามปกติ แต่ควรงดเว้นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดเสริมหน้าอก เนื่องจากคาเฟอีนอาจมีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากแพทย์ไม่ได้ห้ามเป็นพิเศษก็สามารถกลับมาดื่มได้ตามความเหมาะสม

ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ควรนอนในท่านอนยกศีรษะให้สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย หรือนอนกึ่งนั่งกึ่งนอน เพื่อช่วยลดอาการบวมและลดแรงกดทับบริเวณหน้าอก หลังจากนั้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ จึงจะสามารถกลับมานอนราบได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับอาการและการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล

มีโอกาส โดยเฉพาะผู้ที่เสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อ เพราะทำให้หน้าอกรับน้ำหนักเต็ม ๆ หรือการเสริมหน้าอกที่ใหญ่เกินไปก็เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ทำนมแล้วจะมีอาการปวดหลังเสมอไป เพราะมีหลากหลายสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

สรุปการเสริมหน้าอกกับ AM International Hospital มั่นใจในทุกขั้นตอน

การเสริมหน้าอกสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใส่ซิลิโคนหรือฉีดไขมันหน้าอก ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การทำนมควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ด้วยตัวเอง เนื่องจากปัญหาของผู้หญิงแตกต่างกัน สรีระและความต้องการก็ไม่เหมือนกัน ทางที่ดีควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้สามารถหาวิธีแก้ไขรูปทรงหน้าอกที่เหมาะสมและตอบโจทย์ตัวเรา

แชร์ :

Thank You!

You details has been successfully submitted. Thanks!

ขอบคุณ!

ข้อมูลของคุณถูกส่งเรียบร้อยแล้ว 

ขอบคุณข้อเสนอแนะติชม