รู้จักอาหารเพื่อสุขภาพ อะโวคาโด มีประโยชน์อย่างไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

อะโวคาโด เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ถูกยกให้เป็น ซูเปอร์ฟู้ด (Super Food) เพราะถือว่าเป็นสุดยอดอาหาร ซึ่งมาพร้อมคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์กับสุขภาพรวมถึงรูปร่างเป็นอย่างมาก โดยในช่วงหลายปีหลัง ๆ ที่ผ่านมา อะโวคาโดยังเป็นกระแสที่มีการพูดถึงและนิยมทานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะสายเฮลธ์ตี้และคนที่หันมาดูแลตัวเองด้วยการควบคุมน้ำหนัก อยากปรับรูปร่างให้สวยแลดูเป็นธรรมชาติ อยากดูแลสุขภาพพร้อมลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังร้ายแรง
คุณค่าทางโภชนาการของอะโวคาโด
เหตุผลที่อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่หลายคนเลือกกิน เพราะอะโวคาโดมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายอย่างมาก อาทิ ไขมันชนิดดี (HDL) หรือไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว, ไฟเบอร์, โพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญ, สารต้านอนุมูลอิสระ, ลูทีน, ซีแซนทีน และยังอุดมไปด้วยวิตามิน เช่น วิตามินบีชนิดต่าง ๆ, วิตามินซี, วิตามินอี, วิตามินเค เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเป็นผลไม้ที่ทานได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งทานทานสดเป็นอาหารว่าง หรือจะนำมาปั่นเป็นเครื่องดื่มก็ได้เช่นกัน
อะโวคาโด กินตอนไหนดีที่สุด ในความเป็นจริงแล้ว อะโวคาโดสามารถรับประทานได้ตลอดทั้งวัน แต่สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ แนะนำให้ทานช่วงเช้าหรือตอนกลางวัน เพราะช่วยให้เราได้รับพลังงานที่จะช่วยให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงหากเลือกรับประทานในตอนกลางวันก็จะช่วยให้อิ่มเร็ว ลดความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารในมื้อเย็นได้น้อยลง
ประโยชน์ของอะโวคาโดมีอะไรบ้าง
อะโวคาโดมีประโยชน์ต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะระบบหัวใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และอะโวคาโดยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงผิวพรรณรวมถึงเส้นผมอีกด้วย
ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ
ถ้าจะพูดถึงผลไม้ที่ดีต่อหัวใจก็ต้องยกให้อะโวคาโดที่มีสารอาหารประเภทไขมันชนิดดี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) เพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) นอกจากนี้ ยังมีโพแทสเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ ซึ่งเมื่อทานเป็นประจำและทานในปริมาณที่พอเหมาะ พบว่ามีความสัมพันธ์กันกับการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
ประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
ในอะโวคาโดมีไฟเบอร์หรือใยอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เป็นปกติ ลดอาการท้องผูก ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีต่อลำไส้ มีไขมันดีที่ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น
ช่วยควบคุมน้ำหนักและไขมันในร่างกาย
อะโวคาโดมีประโยชน์ในแง่ของการลดน้ำหนัก เพราะทานแล้วอยู่ท้อง อิ่มเร็ว อิ่มนาน โดยสามารถรับประทานควบคู่กับการทำ IF เพื่อเป็นตัวช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และยังเป็นอีกหนึ่งในวิธีลดไขมัน ส่วนเกินในร่างกายได้อีกด้วย
บำรุงสุขภาพผิวและเส้นผม
การรับประทานอะโวคาโดมีสรรพคุณช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้านและลดปัญหาผมขาดหลุดร่วง เพราะมีทั้งไขมันดีและยังมีวิตามินอี รวมถึงสารอาหารที่ช่วยต้านความเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสจากภายใน สำหรับผู้ที่พักผ่อนน้อยหรือมีผิวหมองคล้ำ การทานอะโวคาโดเป็นทางเลือกธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวและเส้นผม
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ด้วยวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอะโวคาโด ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดการอักเสบในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายรับมือกับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ไม่อ่อนแอง่าย
การป้องกันโรคเรื้อรัง
การกินอะโวคาโดเป็นประจำในปริมาณที่พอดี ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ในหลายด้าน ทั้งเรื่องของไขมันในเลือด เบาหวาน และหัวใจ เพราะไขมันดีช่วยปรับสมดุลในร่างกาย พร้อมทั้งมีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีต่อระบบภายใน
ข้อควรระวังในการกินอะโวคาโด
แม้อะโวคาโดจะขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามความพอดี เพราะไขมันดีที่อยู่ในอะโวคาโด หากบริโภคมากเกินไปอาจกลายเป็นภาระให้ร่างกายสะสมพลังงานเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ยังควรเลือกผลที่สุกพอดี เพราะอะโวคาโดดิบอาจมีสารที่ย่อยยากและระคายเคืองกระเพาะอาหาร อีกทั้งไม่ควรนำไปปรุงร่วมกับอาหารรสจัดหรือของทอด เพราะอาจลดคุณค่าทางโภชนาการลงได้
อะโวคาโด ควรกินวันละกี่ลูก อะโวคาโด 1 ลูก กี่แคล และอะโวคาโด ห้ามกินกับอะไร เป็นข้อควรระวังที่ควรให้ความสำคัญ สำหรับปริมาณที่แนะนำ คือ ไม่เกินวันละครึ่งถึง 1 ลูก เนื่องจากอะโวคาโด 1 ลูกขนาดกลางให้พลังงานประมาณ 250 – 300 กิโลแคลอรี ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น และหากกินร่วมกับอาหารประเภทที่มีไขมันสูง เช่น เบคอนหรือชีส อาจทำให้ปริมาณไขมันรวมต่อมื้อพุ่งเกินความเหมาะสม จึงควรเลี่ยงการจับคู่แบบนี้ เพื่อคงความสมดุลในมื้ออาหารและไม่เกิดโทษกับร่างกาย
อะโวคาโดพันธุ์ไหนอร่อย
อะโวคาโดมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ถ้าหากจะพูดถึงรสชาติที่อร่อยคงต้องยกให้ แฮส (Hass) เป็นพันธุ์ที่นิยมในบ้านเรารวมถึงในต่างประเทศ ซึ่งลักษณะหรือจุดเด่นของสายพันธุ์นี้ คือ เปลือกที่ขรุขระ เนื้อแน่น สีออกคล้ำ มีรสชาติมันอร่อยคล้ายกับเนย เนื้อไม่ค่อยเละ และถ้านำมากินสดหรือเอาไปปั่นเป็นสมูทตี้จะได้รสชาติที่อร่อย
นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ บัคคาเนียร์ (Buccaneer) และเฟอร์เต้ (Fuerte) ที่ให้เนื้อสัมผัสที่เบากว่า รสชาติมันแต่จืดกว่า ใครที่ไม่ชอบรสจัดก็สามารถเลือกกินอะโวคาโด 2 สายพันธุ์นี้ได้ และยังมีสายพันธุ์ที่ปลูกในภาคเหนืออย่าง เขมรจำปา ที่มีจุดเด่นตรงที่เนื้อเยอะ เม็ดเล็ก รสชาตินุ่มและมีความละมุน
วิธีการเลือกและเก็บรักษาอะโวคาโด
การเลือกอะโวคาโดที่มีรสชาติดี ควรสังเกตสีเปลือกและสัมผัส โดยหากต้องการกินทันที ควรเลือกผลที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเล็กน้อย กดแล้วนิ่มแบบพอดี ไม่ยวบหรือแข็งจนเกินไป ส่วนผลที่ยังดิบ ควรมีสีเขียวเข้ม สัมผัสแน่น ใช้นิ้วแตะเบา ๆ แล้วรู้สึกแข็ง จะสามารถนำไปบ่มต่อที่บ้านได้โดยไม่เสียรสชาติ
สำหรับการเก็บรักษาที่ถูกต้อง หากผลอะโวคาโดยังไม่สุก ให้วางไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยอาจใส่ถุงกระดาษหรือวางคู่กับผลไม้อื่นอย่างกล้วย เพื่อเร่งให้สุกเร็วขึ้น แต่ถ้าสุกแล้วควรเก็บในตู้เย็น เพื่อไม่ใช้เสียเร็ว และหากผ่าครึ่งแล้วยังกินไม่หมด ให้เก็บครึ่งที่มีเมล็ดไว้ ห่อด้วยพลาสติกหรือใส่กล่องปิดฝาให้สนิท จะช่วยลดการเปลี่ยนสีดำของเนื้อ เพราะเนื้ออะโวคาโดเมื่อโดนอากาศจะมีการเปลี่ยนสีตามธรรมชาติ คล้ายกับกล้วยหรือแอปเปิลที่ถูกผ่าแล้ววางทิ้งไว้
สรุป
อะโวคาโดไม่ใช่แค่ผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยอย่างเดียว แต่ยังอุดมด้วยคุณค่าและสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย ทั้งช่วยดูแลหัวใจ ผิวพรรณ และระบบย่อยอาหาร รวมถึงยังเหมาะกับการลดน้ำหนัก แต่ทั้งนี้ การกินอย่างพอดีและหลากหลายวิธีทำให้ได้รับประโยชน์ครบโดยไม่รู้สึกจำเจ และทานอาหารอื่น ๆ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทานในปริมาณที่พอเหมาะ มีการออกกำลังกายเป็นประจำ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากใครกำลังมองหาอาหารที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ การเลือกทานอะโวคาโดเป็นอีกตัวเลือกที่แนะนำ
Post Info
Social Media