loader image

การออกกำลังกาย Crossfit คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยมทั่วโลก

ออกกำลังกายแบบ crossfit

        Crossfit คือการออกกำลังกายที่ขึ้นชื่อเรื่องความท้าทายต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ผสมผสานระหว่างการยกน้ำหนัก การเคลื่อนไหวทั่วร่างกาย และการฝึกแบบเชิงฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของร่างกาย ทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพทั่วโลก เพราะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีและพัฒนาทั้งความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และสมรรถภาพร่างกายได้พร้อมกัน 

        อย่างไรก็ตามการเริ่มฝึก Crossfit โดยไม่มีความรู้พื้นฐานอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ บทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักเกี่ยวกับการทำ Crossfit ให้มากขึ้น และข้อควรรู้อื่น ๆ เกี่ยวกับ Crossfit คืออะไร? ต้องระวังอะไรบ้าง? พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงเพื่อให้การออกกำลังกายปลอดภัยและเห็นผลจริง

เลือกอ่านตามหัวข้อได้ที่นี่

Crossfit คือ?

        Crossfit คือ การออกกำลังกายที่เน้นการพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายอย่างรอบด้าน ผ่านการฝึกหลากหลายแบบที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะเป็นการผสมผสานการออกกำลังกายสองรูปแบบคือ เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) และคาร์ดิโอ (Cardio) 

โดยจุดเด่นของ Crossfit คือการผสมผสานประเภทการออกกำลังกายหลาย ๆ อย่างในแต่ละช่วง ทำให้ร่างกายพัฒนาทั้งด้านความเร็ว ความทนทาน ความแข็งแรง และความยืดหยุ่นไปพร้อม ๆ กัน

Crossfit แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปยังไง?

        Crossfit คือรูปแบบการออกกำลังกายที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างชัดเจน โดยรวมเอาทั้งการเวทเทรนนิ่งยกน้ำหนัก คาร์ดิโอ และการฝึกความยืดหยุ่นไว้ในโปรแกรมเดียว ความโดดเด่นของ Crossfit คือการออกกำลังแบบหนักสลับเบา (HIIT) ที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้สูงและยังช่วยให้ร่างกายได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน ในขณะที่การออกกำลังกายประเภทอื่นอาจเน้นไปที่การพัฒนากล้ามเนื้อเฉพาะส่วนหรือการลดไขมันเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

สรุปข้อดีของการออกกำลังกายแบบ Crossfit คือ

  • เน้นออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา โดย Crossfit เป็นการฝึกที่ผสมผสานระหว่างการออกกำลังกายหนักและช่วงเวลาพักที่สั้น ทำให้ร่างกายทำงานเต็มที่ในเวลาที่จำกัด แต่สามารถเพิ่มความแข็งแรง ความทนทาน และความยืดหยุ่นได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเข้มข้นที่สูงนี้จึงช่วยให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น
  • ผสมผสานการออกกำลังกายหลายแบบ Crossfit โดดเด่นด้วยการปรับรูปแบบออกกำลังกายให้มีการผสมผสานระหว่างหลาย ๆ รูปแบบ ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น บริหารกล้ามเนื้อและร่างกายได้ครอบคลุมทั้งตัว

การฝึก Crossfit มีอะไรบ้าง

        CrossFit เป็นการออกกำลังกายที่เน้นความเข้มข้นสูง (High-Intensity Training) และใช้การเคลื่อนไหวที่หลากหลาย โดยโปรแกรมการฝึกมักถูกออกแบบให้ฝึกทั้งความแข็งแรง (Strength), ความทนทาน (Endurance), ความคล่องตัว (Agility) และความเร็ว (Speed) ซึ่งท่าออกกำลังกายแบบ Crossfit เช่น

  • Squats ฝึกสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและสะโพก เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคงและสมดุลของร่างกาย
  • Deadlifts เน้นพัฒนากล้ามเนื้อหลังและขา เสริมความแข็งแรงในการยกของหนักได้อย่างปลอดภัย
  • Burpees ฝึกที่รวมการกระโดดและวิดพื้นในคราวเดียว ช่วยเพิ่มความทนทานและเสริมสร้างความเร็วของร่างกาย
  • Pull-ups เน้นการฝึกกล้ามเนื้อหลังและแขน โดยการดึงตัวขึ้นจากบาร์ เสริมความแข็งแรงของส่วนบน
  • Kettlebell Swings การเหวี่ยงน้ำหนักเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของแกนกลางลำตัวและสะโพก พร้อมช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหว
  • Box Jumps  ฝึกกระโดดขึ้นลงจากกล่องเพื่อพัฒนาความเร็วและความคล่องตัวของกล้ามเนื้อขา

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการฝึก Crossfit มีอะไรบ้าง?

       การฝึก Crossfit มีความยืดหยุ่นสูง สามารถฝึกได้แทบทุกที่ แต่การเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก Crossfit มักถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เช่น การยกน้ำหนักและการกระโดด ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความทนทานในทุกส่วนของร่างกาย ต่อไปนี้คือลิสต์อุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการฝึก Crossfit ใครอยากออกกำลังกายรูปแบบนี้ต้องเตรียมให้พร้อม!

  • รองเท้ากีฬาแบบ Crossfit ควรมีความทนทานและรองรับการเคลื่อนไหวหลากหลาย ทั้งการวิ่ง ยกน้ำหนัก และกระโดด เพื่อความสะดวกในการฝึก
  • ดัมเบลและบาร์เบล ใช้สำหรับการฝึกยกน้ำหนัก ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Crossfit ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • เคตเทิลเบล (Kettlebell) อุปกรณ์ทรงลูกเหล็กที่ใช้ในการฝึกท่าการเหวี่ยงและยก เพื่อพัฒนาความแข็งแรงและความเร็วของร่างกาย
  • เสื่อออกกำลังกาย ใช้สำหรับการออกกำลังกายที่ต้องการรองพื้น เช่น การทำแพลงก์และการนอนยืดกล้ามเนื้อ เพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการฝึก
  • เชือกสำหรับกระโดดออกกำลังกาย ช่วยพัฒนาความคล่องตัวและความทนทานของหัวใจและปอดในรูปแบบคาร์ดิโอ ทำให้การฝึกมีความสนุกสนานและท้าทาย
  • Plyo Box ใช้ในการฝึกกระโดดขึ้นลงจากความสูง เพื่อเสริมความแข็งแรงและความเร็วของขา
  • ยางยืด (Resistance Bands) สำหรับการฝึกเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ทำให้การฝึกมีความหลากหลายมากขึ้น
  • นาฬิกาจับเวลา ใช้สำหรับนับเวลาในการเล่น Crossfit เพื่อให้การฝึกแต่ละครั้งเป็นไปตามเป้า

การมีอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้การฝึก Crossfit ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้คุณสามารถสนุกสนานกับการออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่!

หลังทำ Crossfit ร่างกายเปลี่ยนไปอย่างไรใน 30 วัน?

       Crossfit เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่เข้มข้นและครบถ้วน ซึ่งช่วยให้ร่างกายเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วแม้เพียงในระยะเวลาสั้น ๆ ภายใน 30 วัน ทั้งในแง่ความแข็งแรง ความทนทาน การลดไขมัน และการสร้างสุขภาพที่ดี มาดูกันเลยว่าถ้าออกกำลังกายแบบ Crossfit ทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

  1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

    การออกกำลังกายแบบ CrossFit ใช้ทั้งน้ำหนักตัวและอุปกรณ์เข้าช่วยเพื่อเพิ่มแรงต้าน เช่น ดัมเบล บาร์เบล และเคตเทิลเบล ซึ่งช่วยกระตุ้นการพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรงและกระชับขึ้น ทำให้รูปร่างฟิตและเฟิร์มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  2. ลดไขมันและกระชับรูปร่าง

    CrossFit เป็นการออกกำลังกายที่ใช้พลังงานสูง เพราะต้องทำหลายท่าต่อเนื่องกันในเวลาสั้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นและกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้หลังออกกำลังกายเสร็จไปแล้วก็ยังคงเผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่อง (Afterburn Effect) ทำให้รูปร่างโดยรวมของเราดีขึ้นหากเล่น Crossfit ติดต่อกัน 30 วัน
  3. ระบบหัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น

    ด้วยความที่ Crossfit มีการผสมผสานทั้งคาร์ดิโอและยกน้ำหนักเอาไว้ด้วยกัน จึงช่วยเสริมสร้างระบบหัวใจและปอดให้แข็งแรงขึ้น โดยจะเริ่มสังเกตว่าหลังทำไป 30 วันร่างกายแข็งแรงขึ้น สามารถออกกำลังกายต่อเนื่องได้นานขึ้นโดยไม่เหนื่อยล้าแม้จะทำท่าที่ใช้พลังงานสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว!
  4. ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น

    การฝึก Crossfit ช่วยพัฒนาความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโปรแกรมการฝึกมักมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลายและท้าทาย เช่น การยืดกล้ามเนื้อและการทำท่าที่ต้องใช้สมดุล หลังจาก 30 วันจะรู้สึกได้ว่าร่างกายมีความยืดหยุ่นดีขึ้น สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยในการออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บในชีวิตประจำวันอีกด้วย
  5. ร่างกายการทรงตัวได้ดี

    ควบคุมร่างกายและความสามารถในการทรงตัวดีขึ้น ด้วยการใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนในเวลาเดียวกัน จะรู้สึกว่าร่างกายตอบสนองได้ดีขึ้นในกิจกรรมที่ต้องใช้การทรงตัวสูง เช่น การยกของหนักหรือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว การฝึกฟังก์ชันนอลใน Crossfit ทำให้คุณสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  6. ความมั่นใจและวินัยในตนเองเพิ่มขึ้น

    นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแล้ว Crossfit ยังช่วยพัฒนาด้านจิตใจอย่างชัดเจน และยังถือเป็นการช่วยพัฒนาวินัยในตัวเอง สามารถก้าวข้ามความยากของการออกกำลังกายไปได้ เพราะ Crossfit คือการออกกำลังกายที่ต้องใช้สมาธิสูงในการควบคุมร่างกายขณะออกกำลังกาย
  7. ช่วยพัฒนาความสามารถด้านกีฬา

    อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนหลังฝึก Crossfit คือ ร่างกายของเราจะมีการพัฒนามากขึ้น ทั้งความแข็งแรง ยืดหยุ่น และความสมดุลในการทรงตัว ซึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ Crossfit จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเล่นกีฬาชนิดต่าง ๆ ได้หลากหลายมากขึ้น

5 ข้อผิดพลาดที่มือใหม่สาย Crossfit มักเจอ พร้อมวิธีหลีกเลี่ยง

        การเริ่มต้นฝึก Crossfit อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่ก็อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการได้เช่นกัน โดยข้อผิดพลาดเหล่านี้อาจนำไปสู่อาการบาดเจ็บหรือรู้สึกหมดกำลังใจในการออกกำลังกายได้ ดังนั้น เราจึงต้องทราบด้วยว่าการออกกำลังกายแบบ Crossfit มีข้อควรรู้อะไรที่ต้องระวังบ้าง

เริ่มฝึกหนักเกินไปตั้งแต่แรก 

        คนที่เพิ่งเริ่มฝึก Crossfit มักจะรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจสูง จึงพยายามฝึกด้วยน้ำหนักมากหรือเลือกทำท่าที่เข้มข้นเกินไปในช่วงแรก ซึ่งอาจทำให้ร่างกายยังไม่พร้อมปรับตัว และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้

วิธีหลีกเลี่ยง ควรเริ่มต้นด้วยน้ำหนักที่เบาและค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้นในการฝึก ให้เวลาร่างกายได้ปรับตัวและสร้างฐานความแข็งแรงก่อน อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป และฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แน่ใจว่ากำลังฝึกอย่างถูกวิธีและปลอดภัย

ฟอร์มการฝึกที่ไม่ถูกต้อง 

        Crossfit มักมีท่าทางที่ยาก ซับซ้อน และต้องการเทคนิคที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในการยกน้ำหนักและการเคลื่อนไหวที่ใช้กล้ามเนื้อหลายส่วน หากฟอร์มไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การบาดเจ็บ เช่น อาการเจ็บที่หลังหรือหัวเข่าได้

วิธีหลีกเลี่ยง ควรเรียนรู้เทคนิคและฟอร์มการฝึกที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด ก่อนที่จะเพิ่มความยากในการทำ เริ่มต้นด้วยการฝึกฟอร์มที่ถูกต้องให้เป็นนิสัย 

ไม่ยอมให้ร่างกายได้พักผ่อนบ้าง 

        หลายคนมักมองข้ามการฟื้นฟูร่างกายหลังการฝึก Crossfit โดยเฉพาะเมื่อเพิ่งเริ่มต้น ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย การฝึก Crossfit มีความหนักกว่าการออกกำลังกายทั่วไป จึงต้องการช่วงเวลาในการพักผ่อนและฟื้นฟูกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม

วิธีหลีกเลี่ยง ควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูร่างกาย เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การยืดกล้ามเนื้อหลังการฝึก และการทำ Active Recovery อย่างการเดินเบาหรือว่ายน้ำ เพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อและส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แนะนำให้ฝึก Crossfit หนัก ๆ ติดต่อกันทุกวันเพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักเกินไปจนบาดเจ็บได้

ละเลยการจัดสรรอาหารให้ครบถ้วน 

        การออกกำลังกายที่มีความหนักหน่วงอย่าง Crossfit ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เหมาะสม ถ้าร่างกายไม่ได้รับโภชนาการที่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถฟื้นตัวและพัฒนาได้เต็มที่

วิธีหลีกเลี่ยง ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและคาร์โบไฮเดรตที่ดีเพื่อให้พลังงานในการฝึก นอกจากนี้ อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายเพิ่มเติมด้วยก็ได้

ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเกินจำเป็น 

        การฝึก Crossfit มักเล่นกันเป็นกลุ่ม ซึ่งอาจทำให้มือใหม่รู้สึกกดดันเมื่อเห็นคนอื่นที่มีประสบการณ์มากกว่า จึงมักพยายามไต่ระดับความยากไปเร็วเกินกว่าที่ร่างกายรับไหว หลายคนอาจกเกิดการบาดเจ็บหรือร่างกายกายเหนื่อยล้าจนท้อกลางคันขึ้นมาได้

วิธีหลีกเลี่ยง ควรโฟกัสที่ตัวเองและความก้าวหน้าของตัวเอง อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ รอบข้าง เพราะทุกคนมีเส้นทางการฝึกที่แตกต่างกัน ให้เวลากับตัวเองในการพัฒนาและทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ดีที่สุดในแบบของเราเอง

ไม่สนใจการวอร์มอัพและคูลดาวน์ 

        การไม่วอร์มอัพหรือคูลดาวน์หลังการฝึกเป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยกลุ่มคนที่ออกกำลังกายและยังเป็นมือใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือกล้ามเนื้อล้าหลังจากการฝึกหรือระหว่างการฝึกถึงขั้นอันตรายได้วิธีหลีกเลี่ยง ควรให้ความสำคัญกับการวอร์มอัพอย่างน้อย 10-15 นาทีก่อนการฝึก และทำการยืดกล้ามเนื้อหรือคูลดาวน์เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังการฝึกทุกครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บเมื่อฝึก Crossfit

แชร์ :

สรุป

        การเริ่มต้นฝึก Crossfit คือการออกกำลังกายที่มีความท้าทายที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่ง แต่หลายคนมักทำข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหนักเกินไป การฝึกท่าทางที่ไม่ถูกต้อง การละเลยการฟื้นฟูร่างกาย แนะนำให้ทำความเข้าใจและฝึกการสร้างฟอร์มท่าต่าง ๆ อย่างถูกต้องเสมอก่อนฝึกจริง ฟังร่างกายของตัวเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำ Crossfit ประสบความสำเร็จมากขึ้น

กรอกฟอร์ม ปรึกษาหมอ ฟรี!