loader image

ตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck) คืออะไร? แก้หน้าท้องย้วยได้จริงไหม

การตัดหนังหน้าท้อง เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่งที่เน้นกำจัดผิวหนังส่วนเกินที่มีความหย่อนคล้อยรุนแรง โดยการศัลยกรรมประเภทนี้สามารถกำจัดได้ทั้งส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง หน้าอก ต้นแขน หรือต้นขาที่มีความย้วยหนัก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผิวหนังยืดหรือหดมากจนเกินไป นำไปสู่การหย่อนคล้อยที่อาจแก้ได้ยากด้วยการออกกำลังกายหรือคุมอาหารเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะคนที่ผ่านการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือคุณแม่หลังคลอด

 การตัดหนังหน้าท้อง จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพื่อช่วยฟื้นฟูรูปร่างและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เพิ่งคลอดบุตรและต้องการคืนความกระชับให้กับหน้าท้อง หรือผู้ที่ลดน้ำหนักลงมาเป็นจำนวนมากแต่ยังมีผิวหนังส่วนเกินเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดหนังหน้าท้องนั้นไม่ใช่การผ่าตัดเล็ก จึงจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการ ผลลัพธ์ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย

ในบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับการตัดหนังหน้าท้องอย่างละเอียด ตั้งแต่ประเภทของวิธีการผ่าตัด ขั้นตอนการเตรียมตัว กระบวนการผ่าตัด การฟื้นตัว ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และคำถามที่พบบ่อย เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้นเหมาะกับเราหรือไม่

เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง

การผ่าตัดตัดหนังหน้าท้อง คืออะไร?

การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่า Abdominoplasty) เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมที่มุ่งเน้นการกำจัดผิวหนังและไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง รวมถึงการกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องให้แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวบริเวณหน้าท้องได้สัดส่วนมากขึ้นและช่วยลดความหย่อนคล้อยรุนแรง ซึ่งมักไม่สามารถแก้ได้ด้วยการออกกำลังกายหรือการทำหัตถการทั่วไปเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

หลายคนมักจะมีความกังวลว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้นน่ากลัว อันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตัดหนังหน้าท้องนั้นถูกพัฒนามาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1800 นับจนถึงปัจจุบันก็ยาวนานหลายศตวรรษ โดยเริ่มต้นมาจากการผ่าตัดเพื่อรักษาผู้ป่วยไส้เลื่อน ซึ่งระหว่างกระบวนการผ่าตัดนั้นจะต้องมีการตัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณหน้าท้องออกไปด้วย ทำให้หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมีหน้าท้องที่กระชับและดูดียิ่งขึ้น นับเป็นความไม่ตั้งใจที่นำมาสู่การค้นพบแนวทางอื่น ๆ สำหรับการศัลยกรรมตกแต่งหน้าท้องให้สวยงามยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อสำรวจสถิติการศัลยกรรมเพื่อความงามที่ได้รับความนิยมสูงสุดช่วงปี ค.ศ. 2021-2023 การตัดหนังหน้าท้อง คือการศัลยกรรมที่ติดหนึ่งในสามอันดับ เป็นรองเพียงการดูดไขมันและการเสริมหน้าอกเท่านั้น ทั้งยังได้รับความนิยมตั้งแต่กลุ่มอายุ 18-64 ปี (อ้างอิงจาก Aesthetic Plastic Surgery National Databank Statistics 2023)

จะเห็นได้ว่าการตัดหนังหน้าท้องนั้น มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน และการได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทำให้มีการพัฒนาความรู้ทางเทคนิคหลากหลายมากขึ้น เราจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผ่าตัดผิวหนังส่วนเกิน เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เรามาดูหัวข้อถัดไปกันเลย

ต้นเหตุของหน้าท้องหย่อนคล้อย

หน้าท้องหย่อนคล้อยมักเกิดจากผิวหนังบริเวณหน้าท้อง มักเกิดจากการที่ผิวหนังมีการขยายตัวและหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงสร้างผิวถูกทำลาย โดยเฉพาะคอลลาเจนและอีลาสตินเสียหาย ส่งผลให้ผิวหนังที่เคยแข็งแรง เต่งตึง มีความยืดหยุ่น ทำให้หน้าท้องย้วยหย่อนคล้อย

หน้าท้องย้วยลายหลังการตั้งครรภ์

ขณะตั้งครรภ์ทำให้หน้าท้องขยายตัวมาก ตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้นทุกเดือน ทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อหน้าท้องขยายตัวอย่างรวดเร็ว หลังคลอดบุตรแล้วผิวหนังกลับมาหดตัวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ซึ่งผิวหนังที่ถูกขยายตัวและหดตัว ทำให้คุณแม่หลังคลอดมักมีปัญหาผิวหนังย้วยหย่อนคล้อยตามมาด้วย

ผิวหนังหย่อนคล้อยหลังการลดน้ำหนัก

สาเหตุต่อมา คือ การลดน้ำหนักมาก ๆ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะในคนที่น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน และมักจะใช้การลดน้ำหนักแบบผิดวิธี เช่น การอดอาหารหรือการใช้ยาลดน้ำหนักโดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ รวมถึงขาดการออกกำลังกาย เมื่อน้ำหนักหายไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวหนังหน้าท้องมีความหย่อนคล้อย และถึงแม้ว่าน้ำหนักลดลงแล้ว แต่สัดส่วนกลับยังมีปัญหาไขมันส่วนเกินและผิวหนังหน้าท้องที่ไม่กระชับ

กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรงหรือแยกตัวออกจากกัน

กรณีของกล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรงและแยกตัว ส่วนมากมักเกิดในรายที่เป็นคุณแม่หลังคลอดและคนที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่มีแรงรับแรงต้านภายในช่องท้อง ทำให้หน้าท้องนูน และกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อ่อนแรงทำให้เก็บกระชับหน้าท้องได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้หน้าท้องมีความหย่อนคล้อยลงมา

ประเภทของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง

การตัดหนังหน้าท้องไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความหย่อนคล้อยของผิวหนัง ปริมาณไขมันที่ต้องกำจัด และความต้องการของผู้เข้ารับบริการเอง โดยการเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและเป้าหมายของแต่ละบุคคล มาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

การตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบ (Full Abdominoplasty)

การตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบ หรือ Full Tummy Tuck เป็นวิธีการผ่าตัดที่ครอบคลุมทั้งหน้าท้องส่วนบนและส่วนล่าง ศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกจากบริเวณเหนือสะดือลงมาจนถึงใต้สะดือ พร้อมทั้งกำจัดไขมันส่วนเกิน โดยอาจมีการผ่าตัดเย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แยกหรือหย่อนคล้อยไปด้วย

การตัดไขมันหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง เช่น ผู้ที่ผ่านการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมาก่อน หรือกลุ่มคุณแม่หลังคลอดที่หน้าท้องหย่อนคล้อยรุนแรงมาก โดยแผลผ่าตัดจะอยู่บริเวณใต้สะดือและอาจต้องมีการย้ายตำแหน่งสะดือใหม่ (ศัลยแพทย์จะผ่าตัดตกแต่งสะดือให้ไปพร้อมกัน) บางรายที่มีไขมันสะสมมาก ก็สามารถเลือกดูดไขมันเข้ามาช่วยได้เช่นกัน

ข้อดีของการทำ Full Tummy Tuck

  • ช่วยกำจัดผิวหนังส่วนเกิน กระชับสัดส่วนทั้งหน้าท้องส่วนบนและส่วนล่าง
  • แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกได้ชัดเจน
  • เหมาะกับผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจนมีผิวหนังส่วนเกินเยอะ
  • ช่วยให้รูปร่างหน้าท้องสวยงาม เพราะสามารถตัดแต่งสะดือให้สวยขึ้นได้
  • รูปร่างและสัดส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน

ข้อเสียของการทำ Full Tummy Tuck

  • แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่และอยู่บริเวณใต้สะดือ ทำให้อาจจะเห็นแผลชัดเจนกว่า
  • ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า เนื่องจากแผลใหญ่กว่า
  • อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

การตัดหนังหน้าท้องแบบเฉพาะส่วน (Mini Abdominoplasty)

การตัดผิวหนังหน้าท้องเฉพาะส่วน หรือ Mini Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยและไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องส่วนล่างเท่านั้น โดยศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกเฉพาะบริเวณใต้สะดือ และอาจมีการดูดไขมันร่วมด้วยหากจำเป็น

การตัดไขมันหน้าท้องวิธีนี้ไม่ได้เน้นการปรับแก้กล้ามเนื้อหน้าท้อง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาน้อยหรือผิวหนังหย่อนคล้อยไม่มากเท่านั้น ซึ่งแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กและแพทย์มักจะเลือกกำจัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณใต้ขอบชั้นใน จึงช่วยซ่อนแผลได้ดี ระยะฟื้นตัวจะสั้นกว่าการตัดไขมันหน้าท้องแบบอื่น ๆ

ข้อดีของการทำ Mini Abdominoplasty

  • แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก
  • ระยะเวลาฟื้นตัวสั้นกว่า
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขเฉพาะจุด

ข้อเสียของการทำ Mini Abdominoplasty

  • ไม่สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยกได้
  • เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาน้อยเท่านั้น

การตัดหนังหน้าท้องแบบขยาย (Extended Abdominoplasty)

การตัดหนังหน้าท้องแบบขยาย (Extended Abdominoplasty) คือการผ่าตัดที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับปัญหาผิวหนังและไขมันส่วนเกินที่สะสมตั้งแต่หน้าท้องส่วนล่างยาวไปจนถึงด้านข้างลำตัว วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยจำนวนมาก เช่น คุณแม่ที่ผ่านการตั้งครรภ์หลายครั้ง หรือผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจนมีผิวหนังส่วนเกินสะสมอย่างเห็นได้ชัด

ในการผ่าตัดประเภทนี้ ศัลยแพทย์จะประเมินและอาจทำการผ่าตัดเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เช่น การเย็บกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนกลาง เพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยก ทำให้หน้าท้องเรียบแบนขึ้น, การดึงกระชับกล้ามเนื้อด้านข้าง เพื่อเสริมสร้างผนังหน้าท้องและปรับรูปร่างช่วงเอวให้มีส่วนเว้าโค้งสวยงาม, และในบางกรณีอาจมีการ ย้ายตำแหน่งสะดือ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติเข้ากับสัดส่วนใหม่ของหน้าท้องหลังทำ

ข้อดีของการทำ Extended Abdominoplasty

  • ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังส่วนเกินได้ในบริเวณกว้าง ทั้งหน้าท้องส่วนล่างและด้านข้างลำตัว
  • ปรับรูปร่างช่วงเอว ช่วยให้เอวดูเล็กลงและได้สัดส่วนที่ชัดเจนขึ้น
  • แก้ไขกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก สามารถเย็บกล้ามเนื้อที่แยกให้กระชับขึ้นได้ ลดปัญหาหน้าท้องป่องหลังคลอด
  • เหมาะกับเคสที่มีผิวหนังส่วนเกินมาก ตอบโจทย์ผู้ลดน้ำหนักอย่างกะทันหัน หรือคุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยรุนแรง

ข้อเสียของการทำ Extended Abdominoplasty

  • แผลผ่าตัดจะยาวโค้งไปทางด้านข้างลำตัว ทำให้เห็นรอยแผลเยอะขึ้นเมื่อเทียบกับการตัดหนังหน้าท้องแบบปกติ อย่างไรก็ตาม ศัลยแพทย์จะพยายามซ่อนแผลไว้ในแนวบิกินีไลน์ เพื่อให้สามารถปกปิดใต้ร่มผ้าได้ง่ายขึ้น
  • ระยะเวลาพักฟื้น อาจใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการผ่าตัดหนังหน้าท้องแบบทั่วไปเล็กน้อย เนื่องจากผ่าตัดในพื้นที่กว้างกว่า

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบรอบทิศทาง (Circumferential Tummy Tuck)

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบรอบทิศทาง หรือ Circumferential Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินตั้งแต่หน้าท้อง รอบเอว และหลังส่วนล่าง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยรุนแรงรอบลำตัว ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มคนที่น้ำหนักตัวมาก ๆ (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 ขึ้นไป) เมื่อผ่านการลดน้ำหนักมาแล้ว มักมีแนวโน้มเกิดความหย่อนคล้อยของผิวระดับรุนแรง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว

สำหรับการตัดไขมันหน้าท้องแบบรอบทิศทาง ศัลยแพทย์จะทำการกรีดเปิดแผลรอบลำตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยจะมีการกำหนดตำแหน่งผ่าตัดลงบนผิวของผู้เข้ารับบริการ เพื่อวางแผนก่อนล่วงหน้าให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุลและแม่นยำ ซึ่งศัลยแพทย์จะพยายามกำหนดให้แผลผ่าตัดจะอยู่รอบลำตัวบริเวณใกล้ขอบชั้นใน

ข้อดีของการทำ Circumferential Tummy Tuck

  • กำจัดส่วนเกินได้ครอบคลุมกว่า
  • ลดไขมันรอบเอว ลดห่วงยางรอบเอวได้
  • สัดส่วนเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง

ข้อเสียของการทำ Circumferential Tummy Tuck

  • แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่มาก
  • อาจมองเห็นแผลได้ชัดเจน (ขึ้นอยู่กับบริเวณการผ่าตัด)
  • ระยะเวลาฟื้นตัวค่อนข้างนานมาก เพราะแผลมีขนาดใหญ่
  • การดูแลตัวเองหลังทำซับซ้อนมากกว่า
  • มีความเสี่ยงสูงกว่าวิธีอื่น ๆ

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิส หรือแบบกากบาท (Fleur-de-lis Tummy Tuck)

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิส หรือ Fleur-de-lis Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งสามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกิน กำจัดไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ผ่าตัดเย็บตัดแต่งกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กระชับมากขึ้น และตกแต่งสะดือได้ด้วยเช่นกัน

วิธีตัดไขมันหน้าท้องแบบฟลัวร์-เดอ-ลิสจะแตกต่างจากการตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบและแบบรอบทิศทาง โดยแผลผ่าตัดจะมีลักษณะเป็นรูปกากบาท ศัลยแพทย์จะลงมีดผ่าตัดแนวตั้งบริเวณกึ่งกลางหน้าท้องจากใต้หน้าอกลงมาถึงแผลแนวนอน ซึ่งจะอยู่บริเวณเหนือหัวหน่าว (คล้ายกับการผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ) ทำให้สามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และช่วยกระชับส่วนเอวให้เข้ารูปมากขึ้น

ข้อดีของการทำ Fleur-de-lis Tummy Tuck

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก
  • สามารถกระชับสัดส่วนเอวให้เข้ารูปมากขึ้น
  • กำจัดผิวหนังส่วนเกินบริเวณกว้างได้
  • สัดส่วนโดยรวมเปลี่ยนแปลงชัดเจน

ข้อเสียของการทำ Fleur-de-lis Tummy Tuck

  • แผลผ่าตัดมีขนาดใหญ่มาก
  • เห็นรอยแผลผ่าตัดชัดเจน ซ่อนแผลไม่ได้
  • ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่าวิธีอื่น
  • การดูแลแผลมีความซับซ้อนมากกว่า

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบย้อนกลับ (Reverse Tummy Tuck)

การตัดผิวหนังหน้าท้องแบบย้อนกลับ หรือ Reverse Tummy Tuck เป็นการผ่าตัดที่เน้นแก้ไขปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณหน้าท้องส่วนบนเท่านั้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนบนหย่อนคล้อยรุนแรง แต่ไม่ได้มีปัญหาบริเวณหนังหน้าท้องส่วนล่าง

ศัลยแพทย์จะทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกเฉพาะบริเวณหน้าท้องส่วนบน โดยแผลผ่าตัดจะเป็นแนวนอน พาดอยู่ใต้หน้าอก ทำให้สามารถซ่อนแผลได้ง่าย แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนล่างหย่อนคล้อยหรือผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยก เนื่องจากไม่สามารถเย็บกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องได้

ข้อดีของการทำ Reverse Tummy Tuck

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องส่วนบนหย่อนคล้อย
  • แผลผ่าตัดสามารถซ่อนไว้ใต้หน้าอกได้ ทำให้เห็นแผลไม่ชัดเจน
  • ช่วยปรับหน้าท้องให้กระชับแบบเฉพาะจุด ไม่ต้องผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ

ข้อเสียของการทำ Reverse Tummy Tuck

  • ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนังหน้าท้องส่วนล่างหย่อนคล้อยได้
  • อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อยในบริเวณกว้าง เพราะเน้นแก้แบบเฉพาะจุดมากกว่า
  • อาจเห็นว่ามีแผลเป็นใต้หน้าอกเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย

ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดหนังหน้าท้อง?

การตัดหนังหน้าท้องเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังหน้าท้องหย่อนคล้อยหรือไขมันสะสม ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกายหรือกระชับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีกลุ่มที่เหมาะและไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง ดังนี้

กลุ่มคนที่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง

  • ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรงมาก
  • ผู้ที่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (Diastasis Recti) ซึ่งมักเกิดหลังผ่านการตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องในปริมาณมาก ร่วมกับมีความหย่อนคล้อยของผิว
  • ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด
  • ผู้ที่ต้องการปรับสัดส่วนหน้าท้องให้กระชับและเรียบเนียน เพื่อเพิ่มความมั่นใจ

กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง

  • ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ในอนาคต เพราะอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยซ้ำซ้อน
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวไม่คงที่ หรือยังมีแผนจะลดน้ำหนัก ควรทำตามแผนก่อนแล้วจึงตัดสินใจอีกที
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่มีปัญหาหรือโรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
  • ผู้ที่ไม่พร้อมสำหรับการพักฟื้นเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวหลายสัปดาห์

ทางเลือกอื่น ๆ สำหรับกลุ่มที่ไม่สามารถตัดหนังหน้าท้องได้

สำหรับบางกรณีที่เราไม่สามารถทำการตัดหนังหน้าท้องได้ หรืออาจไม่เหมาะกับการตัดหนังหน้าท้อง อาจสามารถทำศัลยกรรมหรือหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น

  • การดูดไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมแต่ไม่มีปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อย
  • การใช้เทคโนโลยี Non-invasive เช่น การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) หรือเลเซอร์เพื่อกระชับผิว เป็นต้น
  • การสวมชุดกระชับ ช่วยปรับหุ่นและกระชับสัดส่วนได้ชั่วคราว สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด
  • การทำกระชับผิวด้วย J Plasma เหมาะกับคนที่มีผิวย้วยระดับปานกลาง ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ เวลาพักฟื้นน้อยกว่า
  • การใช้ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวเยอะมาก ๆ อาจต้องคุมอาหารและลดน้ำหนักก่อนตัดหนังหน้าท้อง การใช้ปากกาลดน้ำหนักจะมีส่วนช่วยให้เราสามารถคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น

ขั้นตอนการผ่าตัดตัดหนังหน้าท้องที่ AM International Hospital

การตัดหนังหน้าท้อง เป็นกระบวนการที่ต้องวางแผนอย่างละเอียดและดำเนินการโดยศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งจะมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

การปรึกษาและวางแผนการผ่าตัดร่วมกับแพทย์

ก่อนการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินสภาพผิวหนัง ไขมัน และกล้ามเนื้อหน้าท้องของผู้เข้ารับบริการอย่างละเอียด รวมถึงซักประวัติสุขภาพเพื่อตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย โดยผู้เข้ารับบริการจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัด ผลลัพธ์ที่คาดหวัง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดหนังหน้าท้องด้วย

เตรียมตัวก่อนตัดหนังหน้าท้อง

ก่อนวันผ่าตัด ทีมแพทย์จะให้คำแนะนำในการเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการผ่าตัด โดยคำแนะนำที่จำเป็นเพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่เสี่ยงอันตรายร้ายแรง ได้แก่

  • ปรึกษาศัลยแพทย์เกี่ยวกับความคาดหวัง ผลลัพธ์ที่จะได้ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการตัดหนังหน้าท้อง เพื่อให้เราสามารถเตรียมพร้อมและเข้าใจข้อมูลได้อย่างชัดเจน
  • ตรวจสุขภาพ ตรวจร่างกายและตรวจเลือดเพื่อประเมินความพร้อมก่อนผ่าตัด
  • หยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและไม่ให้ไปขัดขวางการสมานตัวของแผล
  • งดยาและอาหารเสริมทุกชนิด โดยเฉพาะชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • เตรียมสิ่งของที่จำเป็นต่อการพักฟื้นเอาไว้ให้เรียบร้อย เช่น เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์ทำแผล (ทางโรงพยาบาลมักจัดเตรียมเอาไว้ให้) เป็นต้น
  • ทำความสะอาดสถานที่สำหรับพักฟื้นที่บ้านเอาไว้ให้เรียบร้อย ตั้งแต่เตียง หมอน ผ้าห่ม ไปจนถึงพื้นห้อง เพื่อให้ปลอดเชื้อมากที่สุด
  • พาผู้ดูแลมาด้วยอย่างน้อย 1 คนเสมอ เนื่องจากผู้เข้ารับบริการอาจยังไม่ฟื้นตัวดีจากการดมยาสลบ จึงไม่ควรกลับบ้านคนเดียว ต้องมีคนดูแลหรือส่งถึงบ้านเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

ขั้นตอนในห้องผ่าตัด (ดูแลโดยวิสัญญีแพทย์)

ในห้องผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากวิสัญญีแพทย์แบบตัวต่อตัว ซึ่งจะทำหน้าที่วางยาสลบ โดยวิสัญญีแพทย์แต่ละท่านจะดูแลผู้เข้ารับบริการหนึ่งคน เพื่อให้การคำนวณปริมาณยา สัดส่วน และเวลาเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม พร้อมทั้งเฝ้าระวังและป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการผ่าตัด

ศัลยแพทย์จะเริ่มทำการผ่าตัดโดยการเปิดแผลตามประเภทของการตัดหนังหน้าท้องที่เลือก ซึ่งความยาวของแผลจะแตกต่างกันไป จากนั้นจะทำการแยกผิวหนังออกจากกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อเข้าถึงชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ โดยอาจใช้ทั้งมีดผ่าตัดธรรมดาและมีดจี้ไฟฟ้าเพื่อช่วยลดการเสียเลือด เมื่อเข้าถึงบริเวณที่ต้องการแล้ว ศัลยแพทย์จะเริ่ม ตัดแต่งและกำจัดผิวหนังและไขมันส่วนเกิน ตามแผนที่ได้วางไว้ตั้งแต่ต้น

การเย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กระชับ (ถ้าจำเป็น) สำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหน้าท้องแยก ศัลยแพทย์จะทำการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อยหรือแยกออกจากกัน โดยการดึงกล้ามเนื้อทั้งสองข้างเข้าหากันและเย็บให้แน่น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังหน้าท้องและช่วยให้รูปร่างกระชับเข้ารูปมากขึ้น

การย้ายตำแหน่งสะดือ (ถ้าจำเป็น) ในกรณีที่ต้องตัดผิวหนังหน้าท้องในปริมาณมาก เช่น การตัดหนังหน้าท้องแบบเต็มรูปแบบ หรือแบบรอบทิศทาง ศัลยแพทย์อาจจำเป็นต้องย้ายตำแหน่งสะดือ เพื่อให้สะดืออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและดูเป็นธรรมชาติหลังจากการผ่าตัด

เมื่อกระบวนการตัดแต่งและกำจัดส่วนเกินเสร็จสิ้น ศัลยแพทย์จะทำการเย็บปิดแผลด้วยเทคนิคที่เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ไหมผ่าตัดชนิดไม่ละลาย และผู้เข้ารับบริการจะต้องกลับมาให้แพทย์ตัดไหมตามนัดหมาย

การดูแลตัวเองหลังตัดหนังหน้าท้อง

หลังการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการจะถูกนำไปยังห้องพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เมื่อฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ทีมแพทย์และพยาบาลจะให้คำแนะนำอย่างละเอียดเกี่ยวกับการดูแลแผลผ่าตัด การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง รวมถึงข้อควรปฏิบัติอื่น ๆ ที่สำคัญ เพื่อให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการผ่าตัดหนังหน้าท้อง ได้แก่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับอย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงต่อวันในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก
  • ดูแลความสะอาดของแผลผ่าตัดหน้าท้องให้ดี ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • สวมชุดกระชับหน้าท้องตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผิวหนังกระชับตัวเร็วขึ้น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและวิตามิน เพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ควรเริ่มจากการเดินเบา ๆ ก่อน และค่อย ๆ เพิ่มความหนักของกิจกรรมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ เพื่อตรวจแผลว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และเป็นการดูแลผลลัพธ์หลังการผ่าตัดด้วย

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดหนังหน้าท้อง ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง?

การตัดหนังหน้าท้องนับเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่อาจมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงได้ แม้ว่าจะทำโดยศัลยแพทย์ที่ผ่านการผ่าตัดมาก่อนแล้วก็ตาม โดยผลข้างเคียงหลังการตัดหนังหน้าท้องสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป

ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราวและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์

  • อาการบวมและช้ำ เป็นอาการปกติหลังการผ่าตัด ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์
  • อาการปวดและไม่สบายตัว สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง (ห้ามซื้อยามาทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน)
  • รู้สึกชาบริเวณแผล เกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกระทบกระเทือน ทำให้แผลไวต่อการสัมผัส มักเป็นไม่นาน และสามารถหายเองได้
  • เหนื่อยง่ายหรืออ่อนเพลียมาก เนื่องจากร่างกายกำลังฟื้นตัว ควรพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ชาบริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากเส้นประสาทที่ถูกกระทบกระเทือนระหว่างการผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเอง
  • รอยแผลเป็น แผลผ่าตัดจะค่อย ๆ จางลงขึ้นอยู่กับการดูแลแผลและสภาพผิวของแต่ละคน
  • มีของเหลวสะสมใต้ผิวหนัง (Seroma) มักเกิดจากการสะสมของน้ำเหลืองและของเหลวอื่น ๆ ที่ร่างกายขับออกมาใต้ผิวบริเวณที่เกิดการอักเสบ ซึ่งสามารถให้แพทย์แก้ไขได้ (แพทย์มักแก้ไขให้เมื่อเข้าพบตามนัด)

ผลข้างเคียงที่ผิดปกติ (ต้องพบแพทย์โดยด่วน)

ผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการรักษาทันที

  • การติดเชื้อ มีอาการบวมแดงร้อนบริเวณแผล มีหนอง หรือมีไข้
  • เลือดออกผิดปกติ หรือเลือดไหลไม่หยุด จะต้องรีบพบแพทย์ทันที
  • ลิ่มเลือดอุดตัน (Blood Clot) มีอาการปวดขา บวมแดง หรือหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด ต้องรีบถึงมือแพทย์โดยด่วนที่สุด
  • แผลหายช้า แผลไม่ยอมสมานตัว, มีเนื้อตาย (Necrosis), แผลปริหรือฉีก ต้องให้แพทย์รักษาหรือเย็บแผลใหม่
  • อาการแพ้ยาสลบ มีผื่นคัน หายใจลำบาก หรือเวียนศีรษะรุนแรง มักเกิดขึ้นในคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มนามสกุลที่แพ้ยาสลบ เนื่องจากเป็นอาการแพ้ที่ส่งต่อผ่านพันธุกรรมได้

ผลลัพธ์หลังจากการผ่าตัดหนังหน้าท้อง กี่วันเห็นผล

หลังการผ่าตัดหนังหน้าท้อง อาการบวมและช้ำจะค่อย ๆ ลดลงภายในช่วงสัปดาห์แรก ทำให้เริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นได้ประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด ผู้เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในช่วง 2–4 สัปดาห์ โดยไม่รู้สึกตึงหรือเจ็บมากเหมือนช่วงแรก ทั้งนี้ ผลลัพธ์ด้านความกระชับของหน้าท้องจะเห็นชัดเจนขึ้นในช่วง 2–3 เดือน หลังผ่าตัด เมื่อเนื้อเยื่อภายในสมานตัวดีและแผลเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

รีวิวตัดหนังหน้าท้องจากผู้ใช้บริการที่ AM International Hospital

ส่วนหนึ่งของภาพรีวิวก่อนและหลังทำการผ่าตัดหนังหน้าท้อง จากเคสผู้ที่เคยเข้ารับบริการที่ AM International Hospital สังเกตได้ว่าก่อนทำ ผิวหนังที่บริเวณหน้าท้องมีความย้วย หย่อนคล้อย ผิวไม่เรียบเนียน หลังทำการผ่าตัดแล้วผิวกลับมาเต่งตึง โดยแผลหลังผ่าตัดจะถูกซ่อนไว้ตามแนวบิกินี (ขอบกางเกงชั้นใน) ผลลัพธ์หลังทำช่วยให้ผู้เข้ารับบริการกลับมามีความมั่นใจในสัดส่วนตัวเองมากขึ้น

Q&A : คำถามอื่น ๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตัดหนังหน้าท้อง

การตัดหนังหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดที่หลายคนสนใจ แต่ก็มักมีคำถามมากมายเกี่ยวกับกระบวนการผ่าตัด ผลลัพธ์หลังทำ ขั้นตอนและระยะเวลาในการฟื้นตัว ต่อไปนี้คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยที่เราได้รวบรวมมาให้เพิ่มเติม

ตัดหนังหน้าท้อง เจ็บไหม?

ระหว่างการผ่าตัด เราจะได้รับการดมยาสลบจึงทำให้ไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อฟื้นแล้ว อาจรู้สึกได้ถึงอาการปวดหรือตึงบริเวณแผลในช่วงแรกของการพักฟื้น ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์จ่ายให้ อาการปวดมักลดลงอย่างต่อเนื่องและดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

ข้อเสียหลักของการผ่าตัดหนังหน้าท้อง คือ มักทิ้งรอยแผลเป็น ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานและต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจึงจะช่วยให้รอยจางลง, ระยะเวลาพักฟื้นที่ยาวนาน ซึ่งอาจมีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน และมีค่าใช้จ่ายสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบ เลือดออก บวมช้ำ หรือแผลหายช้า ทำให้ไม่สบายตัวหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

โดยทั่วไปต้องพักฟื้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งสามารถกลับไปออกกำลังกายและทำกิจกรรมหนักได้เต็มที่มากขึ้นคือหลังจาก 1 เดือนหลังทำ แต่การฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จริง ๆ อาจใช้เวลาถึง 6-8 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลตัวเองหลังทำด้วยเช่นกัน

การตัดหนังหน้าท้องนั้นจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะค่อย ๆ จางลงตามกาลเวลา แต่ทั้งนี้ แผลตัดหนังหน้าท้องมักจะอยู่บริเวณใต้สะดือหรือใต้ขอบชั้นใน จึงทำให้มองเห็นแผลไม่ชัดเจน และเรายังสามารถเลือกทำเลเซอร์ลดรอยแผลเป็นเพื่อให้แผลแลดูจางลงได้ด้วยเช่นกัน (ส่วนนี้แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หรือทรีทเมนต์อื่น ๆ หลังผ่าตัด)

สามารถตั้งครรภ์ได้หลังจากการผ่าตัดฟื้นตัวสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้วางแผนการมีบุตรให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดขยาย ซึ่งเราอาจจะต้องตัดสินใจตัดหนังหน้าท้องอีกครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองทั้งเวลาในการพักฟื้นและค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น

สามารถเริ่มเคลื่อนไหวเบา ๆ ได้ภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่ควรหลีกเลี่ยงการเดินเป็นเวลานาน ๆ หรือการเคลื่อนไหวที่อาจกระทบกระเทือนต่อแผลผ่าตัด ซึ่งอาจทำให้แผลฉีก ปริ หรือไม่สมานตัวได้ โดยทั่วไปแล้วแผลผ่าตัดหน้าท้องจะหายดีในช่วงหลัง 1 เดือนเป็นต้นไป

แนะนำให้นอนในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน หรือการนั่งเอนตัวประมาณ 45 องศา โดยใช้หมอนรองหลังและขาเอาไว้เพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณแผล ลดอาการบวม และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

สามารถเดินเบา ๆ ได้ภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด แต่ไม่ควรเดินติดต่อกันนานจนเกินไป หรือเดินเร็วเกินไป จนกว่าจะหายดีประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัดไขมันหน้าท้อง

โดยปกติสามารถอาบน้ำได้หลังจากแผลเริ่มแห้งและแพทย์ถอดสายระบายของเหลวออก (สำหรับกรณีที่แพทย์ใช้สายเดรนระบายเลือด) ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดความชื้นบริเวณแผล เช่น การอาบน้ำในอ่าง การว่ายน้ำ การอบซาวน่า ฯลฯ จนกว่าแผลจะหายสนิท

สรุป

การตัดหนังหน้าท้อง (Tummy Tuck หรือ Abdominoplasty) เป็นการผ่าตัดที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไขมันสะสม และกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สูญเสียความกระชับไป ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการตั้งครรภ์ โดยการผ่าตัดหน้าท้องจะช่วยปรับผิวหน้าท้องให้เรียบเนียนและกระชับมากขึ้น ส่งผลให้รูปร่างโดยรวมดูสมส่วนกว่าเดิม

แม้ว่าการตัดหนังหน้าท้องจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ แต่ก็เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย ระยะเวลาพักฟื้น หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ควรปรึกษาศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการตัดหนังหน้าท้องเพื่อประเมินความเหมาะสม และทำความเข้าใจกระบวนการผ่าตัดอย่างละเอียด

นอกจากนี้ การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด และการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดหน้าท้องอย่างเหมาะสม จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น และช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์มากขึ้น หากใครกำลังมองหาวิธีปรับรูปร่างให้ดูกระชับ ลดผิวหย่อนคล้อน แก้ไขภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก การตัดหนังหน้าท้องก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน และเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด

แชร์ :