กระบนหน้า (Freckles) เกิดจากสาเหตุอะไร รักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง

กระบนหน้า

     ปัญหากระบนหน้า เป็นสิ่งที่กวนใจใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ต้องเผชิญกับแสงแดด ซึ่งจะมีจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลปรากฏขึ้นบนผิว แม้จะไม่ได้เป็นอันตรายแต่ก็ทำให้หลายคนเกิดความกังวลในเรื่องของความเรียบเนียนของผิวได้ ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสาเหตุของกระบนหน้าเกิดจากอะไร กระมีกี่ประเภท กระและฝ้าต่างกันไหม และวิธีรับมืออย่างถูกต้อง

เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง

กระ (Freckles) คืออะไร? มีลักษณะอย่างไรบ้าง

     กระ (Freckles) คือ จุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มที่ปรากฏอยู่บนผิวหนัง มักพบได้ที่บริเวณใบหน้า แขน หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งกระเกิดจากการที่เซลล์ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปในบางบริเวณ เพื่อตอบสนองรังสียูวี และกระมักเป็นจุดแบนราบ ไม่นูนขึ้นจากผิว ขนาดประมาณ 1-5 มิลลิเมตร และอาจมีสีเข้มขึ้นได้เมื่อโดนแสงแดดจัด

กระบนหน้าเกิดจากสาเหตุอะไร

       การเกิดกระบนใบหน้ามีหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสแสงแดดและการทำงานของเม็ดสีในชั้นผิว โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. แสงแดด

แสงแดดเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดกระบนหน้าและยังทำให้กระมีสีเข้มขึ้นด้วย โดยรังสี UV ในแสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อปกป้องผิวจากอันตรายของแสงแดด ซึ่งการผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติและไม่สม่ำเสมอนั้น ทำให้ในบางพื้นที่เกิดเป็นจุดกระขึ้นมาได้

2. แสงจากมือถือ และจอคอมพิวเตอร์

ถึงแม้ว่าแสงจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ เช่น แสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์และมือถือ จะไม่ได้มีผลที่รุนแรงโดยตรงเท่ากับแสงแดด แต่การสัมผัสแสงเหล่านี้เป็นเวลานานอาจมีส่วนในการกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดความเครียด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และอาจนำไปสู่การเกิดกระบนหน้าได้ในบางกรณี

3. อารมณ์และความเครียด

อารมณ์และความเครียด แม้จะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดกระบวนหน้า แต่ความเครียดสะสมอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกายและกลไกการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้ผิวไวต่อปัจจัยภายนอกได้มากยิ่งขึ้น เช่น ไวต่อแสงแดด ซึ่งอาจทำให้เกิดกระบนใบหน้าขึ้นได้ง่ายหรือมีสีผิวที่เข้มขึ้น

4. พันธุกรรม

พันธุกรรมมีบทบาทต่อการเกิดกระบนหน้าได้ หากคนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่มีกระ หรือยีนบางตัวมีผลต่อการผลิตเม็ดสีเมลานินในร่างกาย ทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเกิดกระบนหน้าได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนที่มีผิวขาวหรือมีผมสีอ่อน

5. อายุ

เมื่อเราอายุมากขึ้นกระก็จะปรากฏหรือมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นได้ กระมักจะเกิดขึ้นในวัยกลางคนขึ้นไป เนื่องจากผิวมีการสะสมความเสียหายจากแสงแดดมาเป็นเวลานาน ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เม็ดสีผิวที่เปลี่ยนไปตามวัย ทำให้เกิดจุดเม็ดสีหรือเกิดกระบนใบหน้าขึ้นได้ง่าย

6. ฮอร์โมน

เปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ หรือภาวะอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้มีสีถูกผลิตออกมามากขึ้นและไม่สม่ำเสมอจนทำให้เกิดกระหรือฝ้าบนหน้าในบางราย

กระบนหน้ามีกี่ประเภท

      กระที่พบบนใบหน้ามีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะและเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. กระตื้น (Ephelides)

เป็นกระที่พบบ่อยสุด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ ตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลแดง ขนาดไม่เกิน 1-2 มิลลิเมตร กระประเภทนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อสัมผัสกับแสงแดด และมักจะจางลงหรือหายไปในช่วงฤดูหนาวที่ไม่ค่อยโดนแดด ซึ่งเกิดจากพันธุกรรมร่วมกับการกระตุ้นของแสงแดด และมักพบในคนผิวขาวหรือคนที่มีผมสีอ่อน ๆ

2. กระลึก (Lentigines)

มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ ขนาดใหญ่กว่ากระตื้นเล็กน้อย มีขอบเขตค่อนข้างชัดเจน และไม่จางหายไปตามฤดูกาลเหมือนกระตื้น กระประเภทนี้มักจะอยู่ลึกถึงชั้นหนังแท้ ทำให้รักษายากกว่ากระตื้น สาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม และการสัมผัสแสงแดดสะสมเป็นเวลานาน มักพบในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบได้ในคนอายุน้อยเช่นกัน

3. กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)

เป็นรอยโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูน หรือปื้นนูนขึ้นมาจากผิว มีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงดำ ผิวสัมผัสอาจขรุขระคล้ายกับหูด หรือมีลักษณะคล้ายไขมันติดอยู่บนผิว มักพบบริเวณใบหน้า ลำตัว หรือแขนขา และมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามวัย เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ผิวหนังชั้นบน ไม่ได้เกิดจากแสงแดดโดยตรง และมักไม่มีอันตราย แต่ควรให้แพทย์วินิจฉัยเพื่อแยกโรค

4. กระแดด (Solar Lentigo)

หรือบางครั้งเรียกว่าจุดแก่ (Age Spot) มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ขนาดตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึง 1-2 เซนติเมตร และมีขอบเขตค่อนข้างชัดเจน มักพบบริเวณผิวหนังที่ได้รับแสงแดดจัด ๆ เป็นประจำ เช่น ใบหน้า หลังมือ หรือแขน ซึ่งกระแดดเกิดจากการสะสมของความเสียหายจากแสงแดดเป็นเวลานาน และมักพบในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบในคนอายุน้อยที่โดนแดดจัดเป็นประจำได้เช่นเดียวกัน

วิธีรักษากระบนหน้าด้วยวิธีทางการแพทย์

       กระบนหน้ารักษายังไง ? ซึ่งการรักษากระบนหน้าด้วยวิธีทางการแพทย์มีหลายทางเลือก ขึ้นอยู่กับชนิดและความลึกของกระ รวมถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละวิธีมีการรักษาที่แตกต่างกันดังนี้

1. การรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการรักษากระ

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์ที่ช่วยลดเลือนกระบนหน้าเป็นวิธีแรก ๆ ที่หลายคนใช้ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีส่วนผสมของสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินหรือช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น กรดวิตามินเอ (Retinaoids) , กรดอะเซไลอิก (Azelaic Acid), กรดโคจิก (Kojic Acid), อาร์บูติน (Arbutin) หรือ วิตามินซี (Vitamin C) หากใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้

2. การรักษาด้วยโปรแกรม Picoway Laser

โปรแกรม Picoway Laser เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการยิงพลังงานแสงความเร็วสูง Picosecond (หนึ่งในล้านล้านส่วนของวินาที) ไปยังเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง โดยเม็ดสีจะดูดซับพลังงานและแตกตัวอกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ

ที่ร่างกายจะกำจัดออกไปเองในภายหลัง ซึ่งการรักษากระด้วยโปรแกรม Picoway Laser มีประสิทธิภาพสูงในการรักษากระตื้นและลึก

3 การบำบัดด้วยความเย็น (Cyrotherapy Program)

การบำบัดด้วยความเย็น หรือโปรแกรม Cryotherapy เป็นวิธีที่ใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ จี้ลงไปบนจุดที่มีกระบนหน้าเพื่อทำให้เซลล์เม็ดสีปกติถูกทำลายด้วยความเย็น เหมาะสำหรับกระบางประเภทโดยเฉพาะกระตื้น กระแดดที่มีขนาดเล็ก ซึ่งหลังจากที่จี้ไปแล้วผิวบริเวณนั้นอาจเกิดเป็นสะเก็ดและหลุดออกไปภายในไม่กี่วัน แต่ควรทำโดยแพทย์ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการรักษา

4. การลอกผิวด้วยสารเคมี

การลอกผิวสวยสารเคมี เป็นการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออกไป เช่น ไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เมื่อเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำและมีเม็ดสีผิดปกติหลุดลอกออกไปนั้นทำให้เผยผิวใหม่ที่สดใสขึ้นกว่าเดิม ทำให้กระบนใบหน้าดูจางลงได้ ซึ่งควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาเพื่อเลือกชนิดและความเข้มข้นของสารเคมีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

5. การขัดผิว

การขัดผิว หรือ Dermabrasion / Microdermabrasion เป็นการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ขัดเอาเซลล์ผิวชั้นบนที่ตายไปแล้วออกไป โดยวิธีนี้จะช่วยลดเลือนกระตื้นและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ซึ่ง Microdermabrasion เป็นการขัดผิวแบบอ่อนโยนกว่า ส่วน Dermabrasion เป็นการขัดผิวที่ลึกกว่าและอาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า เหมาะสำหรับการรักษากระตื้นและรอยด่างดำที่ไม่ลึกมาก

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกระบนหน้า

      การป้องกันไม่ให้เกิดกระบนหน้า หรือการทำให้กระที่มีอยู่แล้วไม่เข้มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ได้แก่

1. ทำความสะอาดผิวหน้า

การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วออกไป ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน และผิวสามารถหายใจได้ดีขึ้น เป็นการเตรียมผิวให้พร้อมต่อการบำรุงในขั้นตอนต่อไป ซึ่งการมีผิวหน้าที่ดูสะอาดสุขภาพดีก็มีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดโอกาสเกิดปัญหาเม็ดสีหรือกระได้

2. ใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากกระ

การใช้ครีมกันแดดเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันกระบนหน้าได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป และมีคุณสมบัติในการป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB อย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ วัน แม้ในวันที่ไม่มีแดดหรืออยู่ในที่ร่ม จะช่วยป้องกันผิวจากการกระตุ้นเม็ดสีจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นสูง

พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง ในช่วงเวลาที่รังสียูวีที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 10.00-16.00 น. หากจำเป็นที่ต้องออกจากบ้านในช่วงเวลานี้ ควรปกป้องผิวด้วยการสวมหมวกกว้าง แว่นกันแดด หรือเสื้อผ้าแขนขายาว เพื่อลดการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง

4. ทานอาหารที่มีประโยชน์

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี หรือวิตามินซี ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวได้จากภายในสู่ภายนอก โดยสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวีและมลภาวะ ทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดีและลดโอกาสการเกิดจุดด่างดำหรือกระบนหน้าได้

ดูดไขมันอันตรายไหม

การดูดไขมันอันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้างที่ต้องระวัง

หลายคนที่อยากดูดไขมันเป็นครั้งแรกย่อมมีความกังวลว่า “ดูดไขมันอันตรายไหม” รวมถึงอาจเคยได้พบหรือ....อ่านเพิ่มเติม

หมวด ความรู้ศัลยกรรม

แชร์ :

สรุป

       กระบนหน้าเป็นจุดเม็ดสีขนาดเล็กที่เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป มักมีสาเหตุหลักมาจากแสงแดด พันธุกรรม และปัจจัยอื่นๆ เช่น ฮอร์โมนหรืออายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการป้องกันที่ดีคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดและการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ส่วนการรักษาก็มีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว การทำโปรแกรมเลเซอร์ ไปจนถึงการลอกผิวด้วยสารเคมี ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ที่มีทักษะและประสบการณ์ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับชนิดของกระและสภาพผิวของแต่ละคน

กรอกฟอร์ม ปรึกษาหมอ ฟรี!

Thank You!

You details has been successfully submitted. Thanks!

ขอบคุณ!

ข้อมูลของคุณถูกส่งเรียบร้อยแล้ว 

ขอบคุณข้อเสนอแนะติชม