กลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร มีวิธีแก้ยังไงบ้าง แบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
กลิ่นตัวแรง สามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจ ซึ่งภาวะการเกิดกลิ่นกายสะท้อนถึงสุขภาพ การดูแลร่างกาย และพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจรู้สึกไม่กล้าที่จะเข้าสังคมพบปะผู้คน หรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ส่งผลให้เหงื่อออกเยอะจนมีกลิ่นตัวแรงรบกวนคนรอบข้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถจัดการได้ หากเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงว่า กลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร มีวิธีอะไรบ้างที่สามารถแก้ไขได้อย่างถูกจุด และลักษณะกลิ่นตัวแรงแบบไหนที่ควรพบแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ลดปัญหากลิ่นกายเห็นผล ช่วยให้กลับมามีความมั่นใจ สนุกกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ และการใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่ต้องกังวล
เลือกอ่านตามหัวข้อด้านล่าง
ทำความรู้จักกลิ่นตัวและต่อมเหงื่อ
กลิ่นตัวแรง คือ ลักษณะกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการทำงานของต่อมเหงื่อร่วมกับแบคทีเรียบนผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรือจุดอับที่มีความชื้นสูง แม้ว่าเหงื่อจะเป็นของเหลวที่ไม่มีกลิ่น แต่เมื่อรวมกับแบคทีเรียจะเกิดการย่อยสลายและปล่อยกลิ่นออกมาได้ ซึ่งความรุนแรงของกลิ่นมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ฮอร์โมน ภาวะโรคประจำตัว และพฤติกรรมการดูแลร่างกายประจำวัน
ต่อมเหงื่อในร่างกายมี 2 ชนิดหลัก ได้แก่ ต่อมเอคไครน์ (Eccrine) และต่อมอะโพไครน์ (Apocrine) โดยต่อมเอคไครน์มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและพบได้ทั่วร่างกาย ส่วนต่อมอะโพไครน์มักอยู่ในจุดอับและเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้มากที่สุด เนื่องจากการหลั่งของเหลวที่มีโปรตีนและไขมัน ซึ่งเชื้อแบคทีเรียนำไปใช้ได้ง่าย จึงทำให้เป็นสาเหตุของกลิ่นตัวแรงและเหงื่อเยอะ
กลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร
ที่มาที่ไปของกลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร สำหรับสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์ อาจมาได้จากหลายสาเหตุ ทั้งในเรื่องภาวะเหงื่อออกเยอะ ฮอร์โมนเพศ มีการสะสมของแบคทีเรีย การรับประทานอาหารบางชนิด ภาวะโรคเรื้อรัง รวมถึงความเครียด
1. ต่อมเหงื่อผลิตเหงื่อมากเกินไป
การมีเหงื่ออกมากเกินไปเป็นหนึ่งในสาเหตุของกลิ่นตัวแรง เหงื่อออกเยอะ ซึ่งเกิดจากภาวะที่ร่างกายผลิตเหงื่อมากผิดปกติ โดยเฉพาะจากต่อม Apocrine ซึ่งอยู่บริเวณรักแร้ เมื่อเหงื่อเยอะและไม่มีการระบายกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นได้ง่าย
2. ฮอร์โมนเพศชาย
กลิ่นตัวแรง ผู้ชายเกิดจากอะไร หนี่งในสาเหตุหลัก คือ ฮอร์โมนเพศชายที่สูงกว่าผู้หญิง ซึ่งกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เกิดเหงื่อและกลิ่นเฉพาะตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหรือวัยทำงาน
3. แบคทีเรียที่มากเกินไป
ถึงแม้ว่าเหงื่อเไม่มีกลิ่น แต่เมื่อมีแบคทีเรียมาทำปฏิกิริยากับเหงื่อก็จะปล่อยสารที่มีกลิ่นออกมา หากร่างกายมีแบคทีเรียสะสมจำนวนมาก เช่น จากการไม่ล้างทำความสะอาดผิวหนังบ่อยพอ ก็จะยิ่งทำให้กลิ่นตัวแรงขึ้น
4. พฤติกรรมการรับประทาน
อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ หรืออาหารไขมันสูง สามารถส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวจากภายใน โดยเฉพาะผู้ที่มีระบบเผาผลาญไวหรือรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นประจำ จะมีโอกาสมีกลิ่นตัวที่รุนแรงกว่าปกติ
5. โรคอ้วน
คนที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะโรคอ้วนมักมีเหงื่อออกมากขึ้น ทำให้รอยพับตามร่างกายเป็นจุดสะสมเหงื่อและแบคทีเรียได้ง่าย ทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงและเหงื่อเยอะได้มากขึ้น รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ทำให้ร่างกายร้อนเร็วขึ้นก็กระตุ้นให้มีเหงื่อเพิ่มขึ้นอีกด้วย
6. โรคเบาหวาน
ในบางรายที่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ ร่างกายจะเผาผลาญไขมันและเกิดสารเคมีบางชนิดที่มีกลิ่นเฉพาะตัว หากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงหรือแตกต่างจากคนทั่วไป
7. ความเครียด
เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อ ซึ่งเป็นตัวการของกลิ่นตัว ยิ่งเครียดมากก็อาจยิ่งทำให้มีกลิ่นตัวแรงและเหงื่อเยอะขึ้นได้แม้ว่าจะไม่ได้ออกกำลังกายหรือไม่ได้อยู่ในที่ที่อากาศร้อน
กลิ่นตัวแรงแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
แม้กลิ่นตัวจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ในบางกรณีที่กลิ่นเปลี่ยนไปจากเดิมจนผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือความผิดปกติภายในร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม หากเริ่มสังเกตว่ากลิ่นตัวแรงมีลักษณะเฉพาะและไม่หายไปแม้รักษาความสะอาดแล้ว ควรพิจารณาเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียด
กลิ่นตัวคล้ายกลิ่นละมุด
กลิ่นตัวแรงแบบกลิ่นหวานฉุนเหมือนผลไม้สุกจัด เช่น กลิ่นละมุด หรือกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย อาจเป็นสัญญาณของภาวะตับทำงานผิดปกติ เช่น ตับอักเสบ หรือตับแข็ง ระดับเอนไซม์ในร่างกายเปลี่ยนไปจนขับกลิ่นผิดปกติออกทางเหงื่อหรือผิวหนัง
กลิ่นตัวคล้ายไข่เน่า
กลิ่นเหม็นรุนแรงคล้ายไข่เน่า หรือกลิ่นกำมะถัน มักมาจากการที่ร่างกายย่อยโปรตีนไม่สมบูรณ์ หรือมีเชื้อแบคทีเรียที่ผลิตก๊าซซัลเฟอร์สะสมในลำไส้ หากมีกลิ่นลักษณะนี้ร่วมกับอาการท้องอืด ท้องเสียเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหาร
กลิ่นตัวคล้ายกลิ่นคาวปลา
กลิ่นคาวคล้ายปลาดิบที่ออกมาทางเหงื่อหรือแม้แต่ปัสสาวะ อาจเกิดจากภาวะ “Trimethylaminuria” ซึ่งร่างกายไม่สามารถสลายสารบางชนิดได้ตามปกติ กลิ่นคาวจึงถูกขับออกทางร่างกาย ในกลุ่มนี้มักเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม และต้องอาศัยการปรับอาหารหรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์ในการควบคุมอาการ
กลิ่นตัวคล้ายกลิ่นเหม็นเขียวขมคอ
กลิ่นตัวแรงที่ออกเหม็นเขียว หรือกลิ่นน้ำเสียที่ติดจมูกและรู้สึกขมในลำคอ บางครั้งอาจมาจากการที่ของเสียในร่างกายถูกขับออกไม่หมด โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไตหรือระบบขับถ่าย หากมีกลิ่นนี้ร่วมกับอาการบวมน้ำ เหนื่อยง่าย หรือปัสสาวะผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของไต
กลิ่นตัวคล้ายกลิ่นผลไม้
แม้ฟังดูไม่น่ากังวล แต่กลิ่นหวานคล้ายผลไม้ เช่น กลิ่นแอปเปิลสุก หรือกลิ่นหมักเปรี้ยว อาจเกิดจากภาวะคีโตแอซิโดซิส โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ ซึ่งกลิ่นลักษณะนี้อาจมาพร้อมกับลมหายใจที่มีความหวาน หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะมาก
วิธีแก้ปัญหาลดกลิ่นตัวแรง
กลิ่นตัวแรง ทำไงดี วิธีลดกลิ่นตัวที่ได้ผลจริง ต้องมาจากการดูแลตัวเองแบบองค์รวม ทั้งจากรักษาความสะอาและมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดกลิ่นกายที่ไม่พึงประสงค์
1. รักษาสุขอนามัย
การดูแลความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญของการลดกลิ่นตัว โดยเฉพาะในจุดที่มีต่อมเหงื่อจำนวนมาก เช่น รักแร้ หลังคอ หรือขาหนีบ ควรล้างด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้ง และซับให้แห้งทันทีหลังอาบน้ำ เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นตัวแรง
2. ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวและมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย เช่น สบู่ต้านเชื้อหรือสครับระงับกลิ่น สามารถลดต้นตอของกลิ่นได้ สำหรับผู้ที่สงสัยว่า “กลิ่นตัวแรง ใช้อะไรดี” อาจเริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุ เช่น สารส้ม หรือสังกะสี (Zinc) ที่ช่วยควบคุมกลิ่นระหว่างวันได้ดีขึ้น
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
กลิ่นตัวแรง ใช้อะไรดี ในกรณีกลิ่นกายที่เกิดขึ้นบริเวณรักแร้ แนะนำให้เลือกใช้โรลออนที่มีคุณสมบัติช่วยระงับการเกิดเหงื่ออันเป็นสาเหตุของกลิ่นตัวแรง แต่ทั้งนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนกับผิวพรรณ มีกลิ่นหอมตามความชอบ โดยควรทำร่วมกับการกำจัดขนใต้วงแขน เพราะเส้นขนที่อยู่ใต้วงแขนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียซึ่งทำให้มีกลิ่นกาย
4. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
ผ้าที่อับหรือระบายอากาศไม่ดี เช่น ผ้าไนลอน หรือผ้ายืดแนบผิว อาจทำให้เกิดการสะสมของเหงื่อมากขึ้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน เพื่อช่วยลดการอับชื้น
5. ซักเสื้อผ้าเป็นประจำ
การซักผ้าให้สะอาดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแบคทีเรียสามารถสะสมในเนื้อผ้าได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ คอเสื้อ หรือแขนเสื้อ หากซักไม่สะอาดพอหรือใส่ซ้ำโดยไม่เปลี่ยน อาจทำให้กลิ่นตัวแรงยิ่งเด่นชัดขึ้น แม้จะเพิ่งอาบน้ำใหม่ก็ตาม
6. เลือกกินอาหารที่ไม่มีกลิ่นแรง
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ โดยเลือกทานอาหารที่มีกลิ่นเบาหรือทานผักใบเขียว ผลไม้รสชาติไม่จัดมาก ก็จะช่วยลดกลิ่นจากภายในได้
วิธีรักษาทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ปัญหากลิ่นตัวแรง
หากปัญหากลิ่นตัวแรงไม่รู้ทำไงดี แม้ว่าจะดูแลรักษาทำความสะอาดร่างกายแล้ว แต่ในบางรายที่มีภาวะกลิ่นตัวแรงและเหงื่อเยอะร่วมกัน อาจจำเป็นต้องหาทางออกด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ให้ผลลัพธ์ระยะยาว ด้วยการแก้ไขปัญหาเหงื่อออกเยอะผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นกายที่ไม่พึงประสงค์
การผ่าตัดเอาต่อมกลิ่นออก
การผ่าตัดเอาต่อมกลิ่นออกหรือที่เรียกว่า “การขูดต่อมเหงื่อ” เป็นวิธีการกำจัดต่อมเหงื่อชนิด Apocrine ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของกลิ่นตัว โดยเฉพาะในบริเวณรักแร้ วิธีนี้ช่วยลดทั้งเหงื่อและกลิ่นได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวแรงใช้อะไรดีแล้วไม่เห็นผลจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป การรักษาด้วยวิธีนี้ควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ที่มีทักษะด้านการผ่าตัดต่อมเหงื่อโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องอาศัยเทคนิคและการดูแลหลังผ่าตัดอย่างเหมาะสม
โปรแกรมฉีดโบท็อก
โปรแกรมฉีดโบท็อกไม่ได้มีดีแค่ลดริ้วรอย แต่ยังสามารถลดเหงื่อได้โดยตรง โดยการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เข้าไปในชั้นผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ เพื่อยับยั้งการหลั่งของเหงื่อในจุดที่ต้องการ ซึ่งโปรแกรมฉีดโบท็อกเหมาะสำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงจากเหงื่อเยอะ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน และสามารถฉีดซ้ำได้เพื่อคงผลลัพธ์ได้นานยิ่งขึ้น

การดูดไขมันอันตรายไหม มีผลข้างเคียงอะไรบ้างที่ต้องระวัง
หลายคนที่อยากดูดไขมันเป็นครั้งแรกย่อมมีความกังวลว่า “ดูดไขมันอันตรายไหม” รวมถึงอาจเคยได้พบหรือ....อ่านเพิ่มเติม
หมวด ความรู้ศัลยกรรม
สรุป
กลิ่นตัวแรงไม่ใช่เรื่องเล็ก หากเกิดขึ้นบ่อยจนกระทบความมั่นใจและการใช้ชีวิตประจำวัน ควรหาสาเหตุที่แท้จริงและเริ่มดูแลอย่างถูกจุด ทั้งเรื่องสุขอนามัย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงปรับพฤติกรรมการกินและการแต่งกาย หากกลิ่นกายยังคงอยู่แม้ดูแลดีแล้ว อาจพิจารณาทางเลือกทางการแพทย์ร่วมด้วย การใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ จะช่วยให้จัดการกลิ่นตัวได้และมีความมั่นใจได้มากขึ้น
Post Info
Social Media



